จริงตนาการ : ความในใจของ “หลุยส์ ฟาน กัล” หลังโบกมือลาโลกฟุตบอลไปแบบเงียบๆ

“หลุยส์ ฟาน กัล” กุนซือชาวดัตช์ได้ประกาศวางมือจากการเป็นโค้ชฟุตบอลไปแล้วเมื่อไม่กี่วันก่อน หลังจากโลดแล่นในวงการลูกหนังมาแล้วในฐานะนักเตะและโค้ชมากว่า 40 ปี

ฟาน กัล ตัดสินใจวางมือ ไม่ใช่เพราะเขาไม่มีสโมสรไหนให้ความสนใจหลังจากถูก “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ปลดออกจากตำแหน่งเมื่อปี 2016 แต่เพราะเขาเคยสัญญากับแม่ไว้ว่า จะเกษียณตัวเองในวันที่อายุครบ 65 ปี

กุนซือชาวดัตช์มองสโมสรสุดท้ายของตัวเองตั้งแต่ที่เดินจากมาได้เหมือนเป็นแฟนพันธุ์แท้ ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เขาบอกว่า “โชเซ่ มูรินโญ่” และ “โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์” มีแผนการทำทีมที่คล้ายกัน คือ จอดรถบัส ตั้งรับแล้วสวนกลับ

แต่มันแตกต่างกันตรงที่ โซลชาร์ทำแล้วทีมชนะ ส่วนมูรินโญ่ทำแล้วทีมแพ้

ซึ่งทั้งคู่ก็ยังไม่ได้ทำทีมในสไตล์ที่ “เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน” บรมกุนซือของทีมปีศาจแดงเคยสร้างไว้และประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดเสียเลย

เพราะในอดีต เฟอร์กี้ทำทีมด้วยการเล่นเกมรุกแบบเต็มตัว ไม่ได้ตั้งรับสวนกลับแบบนี้บ่อยนัก

 

เรื่องหนึ่งที่ฟาน กัล วิจารณ์แมนฯ ยูอีกเรื่องคือ การที่เป็นองค์กรทางธุรกิจมากกว่าสโมสรฟุตบอล เพราะ “เอ็ด วู้ดเวิร์ด” ซีอีโอของสโมสร มีมือขวาของตัวเองเป็น “แม็ตต์ จัดก์” ผู้ที่มีความสามารถเรื่องเศรษฐศาสตร์และการลงทุน

แต่จริงๆ แล้วคนที่ควรจะอยู่ตรงนั้น ต้องเป็นผู้อำนวยการเทคนิคที่มีความรู้ด้านฟุตบอลอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่นักธุรกิจ ซึ่งหลังจากได้พูดคุยกับเฟอร์กี้ ทั้งคู่ก็มีความคิดในทางเดียวกันว่านี่เป็นปัญหาที่ยังไม่ถูกแก้

ฟาน กัล ถือเป็นโค้ชที่ปลุกปั้นนักเตะระดับโลกมาแล้วหลายคน ย้อนมองไปที่ “อายแอ็กซ์” ยุคที่เขาคุมทีมคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ หรือยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกในปัจจุบัน วันนั้นมีทั้ง “เอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์, ตลาเรนซ์ ซีดอร์ฟ, แพทริก ไคลเวิร์ต” หรือที่ “บาร์เซโลน่า ชาบี้ เอร์นานเดซ, การ์เลส ปูโยล, อันเดรส อิเนียสต้า” และ “โธมัส มุลเลอร์” ที่ “บาเยิร์น มิวนิก” ขณะที่ “อองโตนี่ มาร์กซิยาล” และ “มาร์คัส แรชฟอร์ด” เป็นสองแนวรุกที่ฟาน กัล เปิดโอกาสในวันที่อยู่กับแมนฯ ยู จนได้ดิบได้ดีถึงทุกวันนี้

“มีคนบอกว่า ทั้งมูรินโญ่และโซลชาร์เปิดโอกาสให้นักเตะเยาวชนได้ลงเล่น แต่มันก็ 5-10 นาที นั่นมันไม่ใช่โอกาส เพราะโอกาสคือ การที่คุณจะได้ลงเล่นตลอดทั้งเกม การมีประสบการณ์สูงก็ไม่ใช่เรื่องดีหรอก เพราะมันเหมือนกับการใช้ระบบการบินอัตโนมัติบนเครื่องบิน แต่ในฟุตบอลมันต้องมีจินตนาการด้วย และนักเตะดาวรุ่งนั่นแหละที่มีแรงบันดาลใจในการลงเล่นอย่างแรงกล้า ถ้าคุณไม่เชื่อในพลังของคนหนุ่ม ผมว่าคนคนนั้นไม่เหมาะที่จะเป็นผู้จัดการทีมที่จะสร้างนักเตะหน้าใหม่ขึ้นมาสู่ทีมหรอก”

หลังพ้นจากตำแหน่งกุนซือทีมปีศาจแดง ฟาน กัล ได้รับข้อเสนอมากมาย เขาบอกว่ามีทั้งในอังกฤษเอง, เยอรมนี, สเปน, สหรัฐอเมริกา, เม็กซิโก, อาร์เจนตินา รวมทั้งจาก “ฟายนอร์ด” ทีมในลีกบ้านเกิดของเขาเอง ซึ่งภรรยาก็เชียร์ให้รับงานนี้ เพราะเธอเป็นแฟนบอลฟายนอร์ดมาแต่ไหนแต่ไร

อย่างไรก็ตาม ฟาน กัล ปฏิเสธโอกาสนี้ไปแบบไร้เยื่อใย เพราะเขาภักดีกับอายแอ็กซ์อยู่เสมอ

 

46 ปีในวงการฟุตบอลได้สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาที่ฟาน กัล จะเลือกเส้นทางอนาคตของตัวเองอีกครั้ง มันอาจจะเปลี่ยนไปจากการต้องเลือกว่าจะไปคุมทีมไหนต่อในฤดูกาลหน้า เพราะนาทีนี้เขาจะมีเวลาอยู่กับภรรยา ครอบครัว และหลานๆ อย่างเต็มอิ่ม

“ผมเป็นคนมีปรัชญา และพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าผมสามารถใช้มันไปคว้าแชมป์ได้ใน 4 ประเทศ ถือว่ามันได้ผล แต่สิ่งที่สำคัญกว่าแชมป์ คือมรดกที่จะตกทอดให้กับสโมสร ผมมีความสัมพันธ์ที่ดีกับโค้ช นักเตะ และทุกคนในสโมสรอยู่เสมอ มันไม่ใช่การสร้างภาพนะ เพราะบุคลิกผมมันเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ที่แมนฯยูมีทีมงานกว่า 40 คน ในฝ่ายพัฒนาศักยภาพ รวมทั้งฝ่ายแพทย์ แฟนบอล ทุกคนรักสโมสร ผมได้ไปเป็นนักวิจารณ์ฟุตบอลในเกมแดงเดือด ซึ่งแฟนบอลก็ยังตะโกนเรียกชื่อผมอยู่เลย ผมภูมิใจเสมอที่ได้เห็นว่าคนยังชื่นชอบผมอยู่ นั่นเป็นสิ่งสำคัญของชีวิตผมเลยทีเดียว”

ฟาน กัล อาจจะเป็นคนที่ดูแข็งกร้าว เชื่อมั่นในตัวเองสูงจนสร้างอคติให้กับหลายคนในโลกฟุตบอล และต้องวางมือไปแบบเงียบๆ ทั้งๆ ที่เขาก็เป็นกุนซือที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง

แต่อีกนานแค่ไหน โลกฟุตบอลก็คงจะไม่ลืมผู้ชายคนนี้ คนที่สร้างสีสันและยอดนักเตะมากมาย ตลอดเส้นทางการเป็นโค้ช