วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย/เสถียร จันทิมาธร/ หลัง กัวติ่งอัก ปรากฏ (184)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย/เสถียร จันทิมาธร

หลัง กัวติ่งอัก ปรากฏ (184)

 

ที่แท้คนทั้ง 4 ชายชราศีรษะล้านเป็น “ซัวตงเทียน” คนที่ 2 มีเนื้องอก คือซือตี๋ของมัน ฉายามังกร 3 หัว โฮ้วทงไฮ้ คนที่ 3 ร่างเล็กสันทัด คือเพชฌฆาตพันมือ แพ้เลี่ยงโฮ้ว คนที่ 4 หลวงจีนสูงใหญ่ เป็นประทับหัตถ์ใหญ่ เล้งตี่เซี่ยงหยิน

เมื่อ 30 กว่าปีก่อน เฒ่าทารก จิวแป๊ะทง คร่ากุมทั้ง 4 ส่งมอบให้คูชู่กี เฮ้งชูอิด เฝ้าควบคุม จองจำอยู่ในตำหนักเต้งเอี้ยง ภูเขาจงน้ำ

หวังให้กลับตัวกลับใจสำนึกตนใหม่แล้วค่อยปล่อยตัวเป็นอิสระ

คนทั้ง 4 มีสันดานชั่วร้ายยากกลับกลาย เพียรพยายามหาหนทางหลบหนี แต่ทุกครั้งล้วนถูกติดตามจับกุมกลับมา

ครั้งที่ 3 ที่หลบหนี แพ้เลี่ยงโฮ้ว โฮ้วทงไฮ้ เล้งตี่เซี่ยงหยิน ฆ่าศิษย์สำนักช้วนจินที่เฝ้ารักษาหลายคน เพื่อเป็นการลงโทษนักพรตสำนักช้วนจินจึงหักขาของทั้ง 3 และทำลายดวงตาทิ้ง มีแต่ซัวทงเทียนไม่ได้ทำร้ายคนจึงรักษาดวงตาไว้ได้

จวบจนเมื่อ 16 ปีก่อนกองทัพมองโกลจุดไฟเผาอารามเต้งเอี้ยง พวกมันอาศัยความชุลมุนหลบหนีออกมา เมื่อ 3 ใน 4 ตาบอด จึงกริ่งเกรงซัวทงเทียนละทิ้งหลบหนีจึงยืนกรานไม่ยอมทำลายโซ่เหล็กที่สำนักช้วนจินก้าร้อยทะลุหัวไหล่ติดกัน

ทั้ง 4 จึงร้อยรวมเป็นแถวเดียวกันอย่างที่เอี้ยก่วยได้พบเห็น

 

ที่แท้ทั้ง 4 มีนัดกับกัวติ่งอัก พี่ใหญ่ของ 7 ประหลาดแดนกังหนำ และเมื่อถึงกำหนดมันก็เดินเข้ามาในศาลเจ้า

หยุดยืนอย่างโอ่อ่าอาจหาญกล่าวขึ้น

“กัวติ่งอักเดินทางมาตามคำนัดหมาย นี่เป็นยาเม็ดน้ำค้างหยก 9 บุปผาของเกาะดอกท้อ มีทั้งสิ้น 12 เม็ด คนหนึ่งได้รับคนละ 3 เม็ด”

เมื่อมอบให้กับทั้ง 4 ก็กล่าว “เล่าฮูสะสางเรื่องส่วนตัวแล้วมารับความตายโดยเฉพาะ”

เห็นเคราขาวของกัวติ่งอักโชยพัดพลิ้ว ยืนเชิดหน้ากอปรเป็นอำนาจน่าเกรงขาม มังกร 3 หัวโฮ้งทงไฮ้จึงกล่าว

“ซือเฮีย เขานำยาเม็ดน้ำค้างหยก 9 บุปผามารักษาอาการบอบช้ำภายในของพวกเรา พวกเรากับเขาไม่มีความแค้นลึกล้ำต่อกัน ยังคงละเว้นเขาเถอะ”

แต่เพชฌฆาตพันมือ แพ้เลี่ยงโฮ้ว ไม่ยินยอม แย้งขึ้น “โฮ้วเล่าตี๋ มีคำว่าไว้ เพราะเลี้ยงเสือเป็นชนวนเภทภัย ท่านถือเมตตาจิตเช่นสตรี เกรงว่าพวกเราต้องตายโดยไร้ที่กลบฝัง ตอนนี้เขาแม้ไม่แพร่งพรายออกไป ผู้ใดรับรองว่าภายภาคหน้าเขาจะปิดปากสนิท”

คำถามก็คือ เป็นเรื่องราวอันใดจึงจำเป็นต้องสังหารกัวติ่งอักให้ตายตก

 

เมื่อทั้ง 4 ส่งสัญญาณดังก้อง “ลงมือโดยพร้อมเพรียง” พวกมันก็กระโดดปราด ล้อมกักกัวติ่งอักไว้ ชายชราศีรษะล้าน ซัวทงเทียน

ส่งเสียงแหบพร่าขึ้นมา

“กัวเล่าเท้า เมื่อ 30 กว่าปีก่อนพวกเราอยู่ที่นี้เห็นเอี้ยคังตายอย่างอนาถ คิดไม่ถึงวันนี้ ท่านก็เดินตามเส้นทางของเขา นี่นับว่ากรรมสนองไม่พลาดจริง”

กัวติ่งอักกระแทกไม้เท้าเหล็กลงกับพื้น กระชากเสียง

“เอี้ยคังเคารพโจรเป็นบิดา ขายชาติหวังลาภยศ เป็นคนชั่วต่ำช้าสุดสามานย์ เรากัวติ่งอักเป็นลูกผู้ชายอันเปิดเผย ไม่ละอายต่อฟ้าดิน ท่านไหนเลยนำโจรน้อยมาเปรียบกับเราค้างคาวเหินฟ้าได้ หรือท่านยังไม่ทราบว่าเราฆ่าได้ หยามไม่ได้”

ทั้ง 4 กระแทกลงยังศีรษะของกัวติ่งอัก ขณะที่กัวติ่งอักสำนึกตัวว่ามิใช่คู่ต่อสู้ของคนทั้ง 4 ดังนั้น ไม้เท้ายืนหยัดนั่น

หาได้ปิดป้องต้านรับไม่

บัดดลนั้นได้ยินเสียงลมดังหวีดใหญ่ จากนั้นตามมาด้วยเสียงโครม ผงคลีดินโคลนปลิวคละคลุ้ง คนทั้ง 4 ที่รุกเข้าจู่โจมรู้สึกว่า

ฝ่ามือประทับกับวัตถุที่ผิดแผกแตกต่างไป

คล้ายมิใช่เรือนร่างอันเป็นเลือดเนื้อ ชายชราศีรษะล้าน ซัวทงเทียน เห็นชัดถนัดตาว่ากัวติ่งอักพลันหายสาบสูญ ไร้ร่องรอย

ตำแหน่งที่ค้างคาวเหินฟ้าเคยยืนอยู่กลับเป็นรูปปั้นของทวนเหล็กเฮ้งงั้งเจียง

 

ศีรษะของรูปปั้นถูกพลังฝ่ามืออันแกร่งกร้าวกระแทกใส่กลับกลายเป็นผงดินกองหนึ่ง เมื่อหันไปดูเห็นบุรุษอายุ 30 เศษผู้หนึ่ง ใบหน้าบูดบึ้งขุ่นเคือง

ใช้มือตะปบคว้าคอเสื้อกัวติ่งอักยกชูกลางอากาศ ปากตวาดว่า

“ท่านอาศัยอะไรด่าประณามบิดาผู้ล่วงลับของข้าพเจ้า”

แน่นอน บุรุษอายุ 30 เศษผู้นั้นย่อมเป็น “เอี้ยก่วย”