จัตวา กลิ่นสุนทร : สุดท้ายหนีไม่พ้น “รัฐบาลผสม”

เป็นนิตยสารรายสัปดาห์ ต้องเขียนต้นฉบับล่วงหน้าหลายวันจึงยังไม่รู้ว่าผลการ “เลือกตั้ง” ของวันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม 2562 ปรากฏออกมาเป็นอย่างไร?

เมื่อ “มติชนสุดสัปดาห์” ฉบับนี้วางจำหน่าย ท่านผู้อ่านย่อมทราบผลกันแล้วเนื่องจากได้ผ่านเลยมาหลายวัน แต่ควรได้รับการบันทึกไว้อีกวันหนึ่ง ที่ “รัฐบาลเผด็จการ” เปิดให้ประชาชนเลือกอนาคตประเทศชาติของเขาเอง

อาจพอจะได้เห็นแล้วว่า “นายกรัฐมนตรี” คนเดิมจะได้ไปต่อหรือไม่? หรือจะได้ “นายกรัฐมนตรี” คนใหม่ ทั้งหมดย่อมมาจากรายชื่อแคนดิเดต (Candidate) ซึ่งพรรคการเมืองเสนอไว้ตามกติกา และจำนวนผู้แทนราษฎรที่ได้รับเลือกตั้งมา กับวุฒิสมาชิกที่มาโดยวิธีลากตั้ง

ขณะเดียวกันอาจกำลังส่อเค้าลางของความวุ่นวายในการจับขั้วบวกผสมของพรรคการเมืองต่างๆ ที่สมาชิกได้รับเลือกตั้งเข้ามาไม่เท่ากัน ซึ่งได้แล้วรู้ว่าเกิดการพลิกล็อกถล่มทลายด้วยปัจจัยต่างๆ ดังนักวิเคราะห์คาดหมายกันไว้ก่อนการเลือกตั้งหรือไม่?

ขั้นตอนตามกฎหมายยังมีอีกมากสำหรับการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ เพราะฉะนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่จนวาระสุดท้าย

เพราะว่ารัฐบาลชุดนี้พิเศษกว่าในอดีต คือ ไม่ต้องเป็นรัฐบาลรักษาการระหว่างมีการเลือกตั้งทั่วไป

 

พรรค “พลังประชารัฐ (พปชร.)” มีชื่อตรงกับนโยบายของรัฐบาล คสช. ซึ่งหลีกหลบเปลี่ยนแปลงมาจากชื่อประชานิยมของรัฐบาลก่อน โดยรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดนี้มาก่อตั้งพรรคการเมืองขึ้น ด้วยเงินทุนอุดหนุนพรรคจากแหล่งไหน ก็ไม่น่าจะพ้นบรรดา “กลุ่มทุนใหญ่” ซึ่งประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้กินแกลบ กินรำจนโง่เง่าดักดานย่อมสามารถล่วงรู้ได้

พรรคการเมืองนี้เสนอนโยบายบนเวทีหาเสียงโค้งสุดท้ายว่าจะทำโน่นนั่นนี่มากมาย ล้วนเป็นโครงการที่ดียอดเยี่ยม รวมทั้งการเสนอขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จากปัจจุบันจ่ายอยู่ที่ 300 บาท ให้เป็น 400 ถึง 425 บาท

มีหวังแรงงานต่างชาติอย่างพม่า กะเหรี่ยง กัมพูชา ลาว เวียดนาม ที่เข้ามาจนเต็มบ้านเต็มเมืองได้เฮกันสนุกสนาน เพราะทุกวันนี้ก็เรียกร้องเล่นตัวเกินราคาค่าแรงขั้นต่ำจนนายจ้างรับไม่ไหวอยู่แล้ว และคาดว่านักลงทุนต่างชาติจะต้องโยกย้ายเปลี่ยนแปลงฐานการผลิตไปลงยังประเทศอื่น เช่น ประเทศใกล้เคียงในอาเซียน เพราะสู้ค่าแรงงานในประเทศไทยไม่ไหว เว้นแต่โรงงานที่พยายามลดแรงงานคนเป็นเครื่องจักรและหุ่นยนต์แทนในอนาคต

ฟังแล้วอดหงุดหงิดไม่ได้กับโครงการต่างๆ เพราะรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดนี้ที่ออกมาก่อตั้งพรรคเพื่อเป็นฐานให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปอีก หรือต่อไปเรื่อยๆ นี้ได้ยึดทำเนียบ ยึดสภามาเป็นเวลากว่า 4 ปีแล้ว ทำไมไม่แก้ปัญหา ทำอะไรๆ ที่เอามาโปรยในตอนหาเสียงเยอะแยะเสียให้มันลุล่วงเสร็จสิ้นรู้แล้วรู้รอดไป

 

รัฐบาล คสช.ชุดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่มีฝ่ายค้านตรวจสอบ มีอำนาจพิเศษเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจากมาตรา 44 ถ้ามีสติปัญญา นโยบายยอดเยี่ยมต้องการจะทำอะไรให้กับประเทศชาติประชาชนดังที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้นำมาเสนอตอนหาเสียงก็น่าจะดำเนินการเสียให้เรียบร้อย

ปล่อยให้ปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจค่อนข้างซบเซา ราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำ และ ฯลฯ ค้างคาอยู่ทำไม?

การยกร่างกฎกติกาทั้งหลายไม่ได้คิดกันแค่เพียงจะให้นายกรัฐมนตรีจากทหารท่านนี้ได้ต่อท่ออำนาจเพียง 4 ปีเท่านั้น หากแต่จะให้เป็นต่อไปถึง 8 ปี เพราะวุฒิสมาชิกจำนวน 250 คนมีโอกาสได้อยู่ในตำแหน่งได้ 5 ปี หากไม่ล้มหายตายจากยังสามารถโหวตตั้งนายกรัฐมนตรีได้อีกสมัยหลังครบเทอม หรือให้เป็นไปยาวๆ ตามอายุของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โน่นเลยทีเดียว

เมื่อทนไม่ไหวกับการบีบล้อมกดดันจำเป็นต้องจัดให้มีการเลือกตั้ง ยังเขียนกฎกติกาเอาเปรียบพรรคการเมืองที่จะลงสู่สนามเลือกตั้ง ดังกล่าวแล้วว่ารัฐบาลนี้ไม่ได้เป็นรัฐบาลรักษาการ ไม่ต้องหยุดทำงาน ยังสามารถให้คุณให้โทษข้าราชการได้ทุกระดับ ไม่เว้นแม้แต่องค์กรอิสระอย่าง “คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)”

ต้องยอมรับทีมงานที่วางแผนอยู่ยาว โดยการจัดวางองค์กรอิสระซึ่งมีความคิดแตกต่างไม่ให้ความร่วมมือ สั่งไม่ได้ให้ถูกยุบไปด้วยอำนาจพิเศษ และวิธีการอื่นบ้าง เว้นไว้เฉพาะแต่พวกเดียวกันที่ให้การสนับสนุน และยินดีรับใช้ ขณะเดียวกันก็คัดเลือกคนของฝ่ายตนเองเข้ามาใหม่ โดยมีมือกฎหมายระดับรองนายกรัฐมนตรี และ ฯลฯ ร่วมด้วยช่วยกันดำเนินการ

เมื่อมีการตีความเรื่องคุณสมบัติ สถานะของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือไม่? หลายคนออกมาแถว่าไม่ได้เป็นบ้าง องค์กรอิสระบางแห่งเลี่ยงบาลีไปข้างๆ คูๆ

 

นายกรัฐมนตรียังขยันเดินทางไปตรวจราชการอย่างต่อเนื่องทุกวัน ไปเยี่ยมเยียนราษฎร ไปทำอะไรมิอะไรแบบบังเอิญสอดประสานกันด้วยเงื่อนเวลากับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ไปเปิดเวทีปราศรัยหาเสียงซึ่งคนทั้งประเทศ พรรคการเมืองทั้งหลายทราบดีว่า นั่นคือการเดินทางไปเพื่อ “หาเสียง” อย่างแจ้งชัด

เมื่อยังเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อยู่ ทุกสิ่งอย่างจึงต้องใช้ของหลวงทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นพาหนะ รถยนต์ เครื่องบิน เบี้ยเลี้ยง เงินเดือน รวมทั้งของคณะผู้ติดตามทั้งหลาย แต่สิ่งสำคัญที่สุดย่อมต้องมีการดำเนินการออกหนังสือเวียนเป็นคำสั่งให้ข้าราชการในจังหวัดที่คณะของนายกรัฐมนตรีจะเดินทางไป แจ้งราษฎรเพื่อมาให้การต้อนรับ มาฟังนายกรัฐมนตรีปราศรัย (หาเสียง)

นายกรัฐมนตรีใช้งบประมาณแผ่นดินซึ่งเป็นภาษีของราษฎร เดินทางไปหาเสียงกับราษฎร เพื่อช่วยพรรคการเมืองที่เสนอท่านเป็นแคนดิเดต (Candidate) นายกรัฐมนตรี แต่ออกข่าวกันหน้าตาเรียบเฉยว่า ไปราชการ

นักกฎหมายของพรรคการเมือง นักกฎหมายอิสระต่างยื่นข้อมูลเรื่องราวของนายกรัฐมนตรี ให้องค์กรอิสระที่รับผิดชอบให้ตีความสถานะของท่าน ให้ตรวจสอบหลายแง่มุม หลายสิ่งหลายอย่าง

แต่คำร้องเรียนเหล่านั้นเงียบหาย นิ่งเฉย บางทีก็ตอบไม่ตรงประเด็นกับเรื่องของพรรคการเมืองที่เหล่ารัฐมนตรีก่อตั้งตั้งแต่ยังอยู่ในตำแหน่ง ไปจัดงานเพื่อระดมเงินเข้าพรรค

ประชาชนที่รักความเป็นธรรม ยึดถือความถูกต้อง ยืนอยู่ข้างประชาธิปไตย มิได้ฝักใฝ่ได้ประโยชน์ หรือต้องการผลประโยชน์จากฝั่งเผด็จการทหาร ท่านสามารถใช้วิจารณญาณพิจารณาความเป็นไปได้เอง โดยไม่ต้องรอผู้ที่มีหน้าที่ตัดสินชี้ขาด ซึ่งมันอาจไม่ทันการในบางสิ่งบางอย่าง เพราะผู้มีหน้าที่ หรือองค์กรอิสระเหล่านั้นส่วนมากจะรวดเร็วอย่างยิ่งกับฝ่ายหนึ่ง และเงียบเฉยล่าช้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับอีกฝ่ายหนึ่ง?

ผู้รักความเป็นธรรม อุดมเหตุผล ไม่ได้ตกลงไปในถังสีใดสีหนึ่ง เลือกข้าง เลือกฝ่าย จะได้เห็นแล้วว่าสิ่งที่คนไทยส่วนใหญ่ปรารถนาจะให้เกิดขึ้น คือ “ความสามัคคีปรองดอง” ย่อมจะเป็นไปได้ยากยิ่งกับสภาพที่เห็นและเป็นอยู่ โดยเฉพาะกับการจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งใครก็มองออกว่าไม่ค่อยจะบริสุทธิ์ยุติธรรม มีการเอาเปรียบ ได้เปรียบ เสียเปรียบกันอย่างมาก

 

เปรียบการชกมวย ว่ากันว่านักมวยจากฝ่ายประชาธิปไตยต้องชกกับคู่ต่อสู้ 1 คน กรรมการชี้ขาดบนเวที กรรมการให้คะแนน รวมทั้งผู้จัด และนายสนาม เพราะฉะนั้น จะชนะได้คือต้องน็อกแต่เพียงอย่างเดียว พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ก่อตั้งขึ้นตามความคิดของท่านผู้ใด ใครเป็นแนวร่วม รวบรวมอดีตผู้แทนเก่าๆ เทาๆ ดำๆ ต่อรองบีบบังคับตระกูลดังทางการเมือง ผู้มากบารมี และมีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์หลายสิ่งหลายอย่างเพื่อมาสนับสนุน

กระสุนดินดำ บุคลากรพร้อม ถ้าไม่ได้รับการเลือกตั้งตามเป้าหมายต้องบอกว่าคนไทยฉลาด สนใจบ้านเมืองของตัวเองมากขึ้น การสื่อสารทันสมัยจนไม่มีใครปิดบังข้อมูลอันควรได้รับรู้เอาไว้ได้ ประกอบกับประเทศนี้ถูกปิดกั้นเว้นวรรคการเลือกตั้งมานาน ประชาชนจึงตื่นตัวเป็นอย่างยิ่งกับการเลือกตั้ง 2562

แต่ประเทศนี้คล้ายมีกรรม เมื่อเปิดให้มีการเลือกตั้ง พรรคการเมืองทั้งหลายกลับแตกแยกแย่งชิง ตั้งหน้าตั้งตาวางแผนจับขั้วเพื่อหนีจากการเป็นฝ่ายค้าน โจมตีกันด้วยการปล่อยข่าวปล่อยคลิป ปรากฏเต็มสื่อออนไลน์ โดยเฉพาะกับพรรคการเมืองที่มาแรงสร้างกระแสความตื่นตัวมากๆ ทำท่าแยกเป็นฝ่ายจนจัดตั้งรัฐบาลยากลำบาก

สำหรับรัฐธรรมนูญปี พ.ศ.2560 ออกแบบให้พรรคการเมืองเหลือแต่พรรคเล็กๆ ไม่มีพรรคใหญ่ที่ได้รับเลือกเข้ามาจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว เพียงแค่ใครจะจับขั้วรวมตัวกับใคร จะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่? เท่านั้น

ใครๆ ย่อมรู้ว่า รัฐบาลหลังการ “เลือกตั้ง” 24 มีนาคม 2562 จะต้องเป็น “รัฐบาลผสม”?