การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ฉันจะต้องใช้ชีวิตแบบไหน?

ในหน้าต้นๆ ของหนังสือ มีภาพชายชราผมขาว หนวดขาวคนหนึ่ง สวมแว่นสายตา ใส่เสื้อมีลวดลายแปลกตา คล้ายๆ เสื้อคลุมยาว กำลังเดินอยู่ในไร่สวน ไม่ไกลนัก ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาออกไป ดูร่มรื่นจนสัมผัสได้ แม้จะเป็นเพียงสีขาวดำในกระดาษ

พลิกไปอีก มีคำบรรยายว่า “ฟูกูโอกะกำลังวาดภาพ…”

อ้อ ชายคนนี้เองที่เป็นเจ้าของเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้

ดั่งเวลานาทีจะไม่มีความหมาย สายตาของฉันไล่ตามตัวหนังสือไปอย่างกระหายใคร่รู้

 

[เมื่อไม่นานมานี้1 มีคนถามผมว่าเหตุไฉนผมจึงเลือกทำเกษตรกรรมวิธีนี้เมื่อหลายปีก่อน จวบจนบัดนี้ผมยังไม่เคยพูดคุยกับใครถึงเรื่องราวเหล่านี้มาก่อน อาจจะกล่าวได้ว่า ไม่มีทางที่จะพูดถึงเรื่องราวเช่นนี้ได้ มันเป็นเรื่องสามัญธรรมดา คุณจะพูดอย่างไรล่ะ เป็นอาการช็อก ความกระจ่างที่แวบที่ขึ้นมาฉับพลัน ประสบการณ์เล็กๆ เรื่องหนึ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด

ความประจักษ์แจ้งนั้นได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของผมอย่างสิ้นเชิง…]

ฟูกูโอกะ ขึ้นต้นเล่าเรื่องราวของตัวเองเอาไว้อย่างนั้น ในหน้าที่ 5 ใต้ชื่อบทที่ฉันเองต้องอ่านทวนแล้วทวนอีก… “โลกนี้ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร”

ในหน้าที่ 9 เขาเล่าเพิ่มเติมว่า

 

[…ขณะนั้นเป็นฤดูหนาว ลมได้พัดหอบเอาละอองหิมะเข้ามาในห้องผ่านทางช่องหน้าต่างที่กระจกแตก ร่างกายภายใต้ผ้าห่มนั้นอบอุ่น แต่ใบหน้าของผมเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง นางพยาบาลเข้ามาวัดอุณหภูมิชั่วครู่แล้วก็กลับออกไป

เนื่องจากเป็นห้องพิเศษ จึงไม่ค่อยมีใครโผล่เข้ามาดู ผมรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งให้อยู่ในความหนาวเย็นอันขมขื่น และในทันใดก็หลุดเข้าไปในโลกแห่งความอ้างว้างโดดเดี่ยว ผมพบว่าตัวเองต้องเผชิญหน้ากับความกลัวตาย…

คืนหนึ่งขณะที่เดินเตร็ดเตร่อย่างไร้จุดหมาย ผมก็ทรุดกายลงด้วยความเหนื่อยอ่อนบนเนินเขาเหนืออ่าว ในที่สุดก็เอนหลังพิงกับไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ผมนอนอยู่ที่นั่นในลักษณะครึ่งหลับครึ่งตื่นจนรุ่งสาง

ผมยังจำได้ดีว่าเช้าวันนั้นเป็นวันที่ 15 พฤษภาคม ในอาการสะลึมสะลือผมแลเห็นแสงสว่างค่อยๆ เรืองรองขึ้นทีละน้อยที่ริมอ่าว ในขณะที่ดวงตะวันยังไม่ทันโผล่พ้นจากทะเล เมื่อลมอ่อนๆ โบกพัดมาจากหุบผาเบื้องล่าง หมอกยามเช้าก็พลันสลายตัวไป

ในทันใดนั้น นกกระสากลางคืนก็ปรากฏกายขึ้น ส่งเสียงร้องแหลม และบินลับจากสายตาไป ผมสามารถได้ยินเสียงกระพือปีกของมัน ในชั่วขณะนั้นเอง หมอกมัวแห่งความขุ่นข้องสับสนและความลังเลสงสัยของผมก็ปลาสนาการไปสิ้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเคยยึดถืออย่างเหนียวแน่น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเคยเชื่อมั่นเป็นปกติวิสัย ล้วนสลายไปกับสายลม

ผมรู้สึกว่าผมเข้าใจเรื่องๆ หนึ่งขึ้นมา ผมถึงกับหลุดคำพูดออกมาโดยไม่ได้คิดมาก่อนว่า “ในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นแก่นสารเลยหนอ…” ผมรู้สึกขึ้นมาว่า ผมไม่ได้เข้าใจอะไรเลย…]

 

แสงไฟหรี่เรืองในความมืด เปลวเทียนสีส้มเอนไหวเบาๆ หูแว่วยินเสียงกุกกักจากห้องของพ่อแม่ ซึ่งมีน้องนอนร่วมอยู่ด้วย ฉันยังคงเอาแต่จ้องมองตัวหนังสือในหน้ากระดาษ

…ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฟูกูโอกะเคยยึดถืออย่างเหนียวแน่น ล้วนสลายไปกับสายลม

ฟูกูโอกะเขียนว่า เพราะฉับพลัน เขาก็รู้สึกเข้าใจเรื่องๆ หนึ่งขึ้นมา ว่าที่แท้ เขาไม่เข้าใจอะไรเลย เพราะทุกสิ่งอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นแก่นสารเลย…

จริงอย่างที่สุด! เท่าที่ตัวฉันเองอยู่เป็นมนุษย์ขี้เหม็นนี้มา โลกนี้หามีสาระอะไรไม่ คนทุกคนก็ล้วนแต่อยู่ๆ กินๆ ดิ้นรนกันไป

ไม่ว่าจะหนแห่งไหน ก็เพียงแต่เอาใบเขียวใบแดงมาเป็นตัวตั้ง แล้วทุกๆ อย่างก็แค่ดำเนินไปตามกฎเกณฑ์

กฎเกณฑ์! ที่ทำให้เราต้องเล่นอยู่ในกติกาของคนอื่นเสมอ

 

[…ผมแลเห็นได้ว่า บัญญัติ (Conceps) ทั้งหลายแหล่ที่ผมเคยยึดถือ ความคิดความเข้าใจเกี่ยวกับความมีอยู่โดยตัวมันเอง ล้วนเป็นโครงอันว่างเปล่า จิตใจของผมโปร่งเบา และใสกระจ่าง

ผมกระโดดโลดเต้นด้วยความร่าเริง ผมได้ยินเสียงนกเล็กๆ ร้องจุ๊กจิ๊กอยู่ในพุ่มไม้ และแลเห็นเกลียวคลื่นสะท้อนประกายแสงอรุณอยู่ลิบๆ ใบไม้พลิ้วทอประกายเขียวเลื่อมพราย ผมรู้สึกว่านี่คือสรวงสวรรค์อันแท้จริงบนพื้นพิภพ

ความปวดร้าวทรมานใจทั้งหลายแหล่ที่เกาะกุมใจผมล้วนแต่ปลาสนาการไปดุจความฝันและมายาภาพ และสิ่งหนึ่งที่เราอาจเรียกมันว่า “ธรรมชาติที่แท้” ก็ได้ปรากฏตัวออกมาอย่างเปิดเผย

ผมคิดว่าคงจะพูดได้ว่า นับแต่ประสบการณ์ในเช้าวันนั้นแล้ว ชีวิตของผมได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง]

 

สายลมกลางคืนหอบความเย็นชื้นๆ เข้ามา รู้สึกราวว่าฝนกำลังจะตก…ใช่หรือ จะใช่ไหม นี่กี่วันเดือนผ่านไป ที่ฉันใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านกำเนิด อยู่มาอีกกี่ฤดูกาล?

คิดว่าเพียงครู่เดียว แต่ก็เหมือนจะแสนยาวนาน หรือจริงๆ เวลาเพียงคืบผ่าน และตัวฉันก็คือผู้ย่ำเท้าวนเวียนไปกับล้อเกวียนที่เคลื่อนวนอยู่ไปมา

ฟูกูโอกะ…ผู้ชายคนนั้นเขาก็เคยเป็นอย่างฉันหรอกหรือ มีวันที่เราไม่แน่ใจกับอะไรเลย มีวันที่เราไม่เคยเป็นสุขกับโลกใบนี้ จนกระทั่ง…เขามีวันที่ชีวิตเปลี่ยนไป

เขาว่ายังไงนะ…มันอยู่ในหน้าๆ หนึ่ง ซึ่งฉันอ่านไปอีกสามรอบ

 

[…ความประจักษ์แจ้งนี้ในตัวมันเองเป็นสิ่งมีคุณค่ามาก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ผมผูกติดอยู่กับคุณค่าพิเศษอะไรอยู่ ผมยังเป็นคนธรรมดาๆ จะพูดว่าเหมือนอีกาแก่ตัวหนึ่งก็คงได้ สำหรับคนที่สังเกตอยู่ห่างๆ ผมอาจจะดูเหมือนคนอ่อนน้อมถ่อมตน หรือไม่ก็คนหยิ่งยโสจองหองก็ได้

ผมเตือนคนหนุ่มสาวที่อยู่ในไร่นาของผมเสมอว่า อย่าพยายามเลียนแบบผม และผมก็โกรธจริงๆ ด้วยถ้ามีใครไม่ใส่ใจคำแนะนำของผม

สิ่งที่ผมต้องการคือให้เขาทั้งหลายอยู่กับธรรมชาติ และใช้ชีวิตกับงานการประจำวัน ไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับตัวผมหรอก แต่สิ่งที่ผมแลเห็นต่างหากที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง]

 

ฟูกูโอกะเขียนเล่าในบทต่อๆ ไปว่า วันรุ่งขึ้น หลังการรู้แจ้งที่เนินเขาเหนืออ่าวแห่งนั้น เขาก็ลาออกจากงานประจำ และบอกกับทุกๆ คนว่า

“ฝั่งนี้คือท่าจอดเรือ และฝั่งโน้นก็คือสะพานจอดเรือที่ 4 หากคุณคิดว่าชีวิตอยู่ฝั่งนี้ ความตายก็จะอยู่ฝั่งโน้น หากคุณต้องการกำจัดความคิดเกี่ยวกับความตาย คุณก็ต้องจำกัดความคิดที่ว่ามีชีวิตอยู่ฝั่งนี้ออกไปด้วย เพราะชีวิตและความตายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน”

ฉันอ่านย่อหน้านั้นอย่างตกตะลึงพรึงเพริดอีกหนหนึ่ง เหมือนชายชาวญี่ปุ่นผู้นี้ เป็นภูติผีที่รู้ไส้รู้พุงใครๆ ไปหมด

ตัวฉัน…ก็มีคืนวันที่เฝ้าหมกมุ่นอยู่กับความตาย แม้กระทั่ง มีความพยายามจะฆ่าตัวตายหลายครั้ง

เพียงแต่แต่ละครั้ง ยังไม่เคยทำได้สำเร็จ

ฟูกูโอกะเขียนถึงเหตุการณ์ช่วงนั้นอย่างน่าสนใจ เขาเล่าด้วยว่า เมื่อบอกแนวคิดกับใครไป ก็มีแต่คนห่วงใย บ้างคิดว่าเขาต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ

…ก็เหมือนกับตัวฉัน! การมีความคิดที่แปลกแตกต่าง ทำให้ผู้คนรอบข้างมองเราอย่างพิศวงสงสัย หรืออาจจะแฝงไว้ด้วยความเวทนา

 

[“เขาพูดอะไรน่ะ เขาต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ” พวกเขาคงคิดเช่นนี้ พวกเขาพากันมองดูผมด้วยใบหน้าสลด มีผมเพียงคนเดียวที่เดินอย่างกระฉับกระเฉงด้วยท่าทีร่าเริงสบายใจ

ในเวลานั้น เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งของผมมีความวิตกกังวลห่วงใยผมมาก และแนะนำให้ผมไปพักผ่อนเงียบๆ สักระยะที่ฝั่งทะเลโบโซ ผมก็เลยไป ตอนนั้นผมไปทุกที่ที่มีคนแนะนำให้ไป…

ผมพบโรงเตี๊ยมเล็กๆ อยู่บริเวณชายฝั่งทะเล ขณะที่ปีนขึ้นทางหน้าผา ผมก็พบสถานที่ที่มีทิวทัศน์งดงามอย่างยิ่ง ผมพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งนั้น และใช้เวลาเป็นวันๆ หมดกับการเอนกายเคลิ้มหลับอยู่ในพงหญ้าสูง ซึ่งมองลงไปแลเห็นทะเล

อาจจะเป็นเวลาหลายวัน เป็นอาทิตย์ หรือเป็นเดือน ที่ผมอยู่ที่นั่น ผมไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ เอาเป็นว่าผมได้พักอยู่ที่นั่นระยะหนึ่ง

เมื่อเวลาผ่านไป ความร่าเริงเบิกบานของผมก็ค่อยๆ จางคลายลง ผมเพิ่งจะเริ่มรู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้น คุณอาจจะพูดว่า ในที่สุดผมก็กลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง]

 

ฟูกูโอกะเขียนเล่าอย่างธรรมดาสามัญ แต่ก็รื่นไหลมีชีวิตชีวา บรรยายเก่งจนแทบได้กลิ่น ฉันรู้สึกอย่างนั้น แม้ขณะที่ผละออกมายืนข้างหน้าต่าง ฝั่งถนนทิศตะวันตก สูดเอากลิ่นฝนที่ปะปนมากับสายลม

เทียนใกล้จะมอดหมดเล่มลงไปทุกที แต่สิ่งที่ได้อ่านในทุกๆ บรรทัด ล้วนกระทบใจ

ฉันกำลังโชคดี?…หรือมันจะเป็นอีกรอบของสิ่งที่ไม่เอาไหน…กับการจู่ๆ ก็ได้รับรู้ว่า ที่เมืองหนึ่งแสนไกล มีคนคนหนึ่งเขียนหนังสือออกมาเล่มหนึ่ง จนมีคนแปลออกมาเป็นภาษาไทย

มีคนส่งมาให้ฉันอ่าน

เมื่ออ่าน ดั่งตกอยู่ในภวังค์เสียทุกย่อหน้า ยิ่งในเวลาที่ “ผม” ในหนังสือเล่าถึงตัวเอง

 

[…ผมกลับไปโตเกียว และพักอยู่ที่นั่นระยะหนึ่ง ใช้เวลาให้หมดไปวันๆ กับการเตร็ดเตร่อยู่ในสวนสาธารณะ พูดคุยกับคนบนท้องถนน ไปนอนที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้าง เพื่อนผมเป็นห่วงมาก และแวะมาดูว่าผมเป็นอย่างไรบ้าง

เขาถามว่า “นี่คุณไม่ได้หลงอยู่ในโลกของความฝัน หรือโลกแห่งมายาอะไรสักอย่างหรือ”

“ไม่” ผมตอบ “คุณต่างหากเล่าที่อยู่ในโลกของความฝัน”

เราทั้งคู่ต่างคิดว่า “ฉันถูกและคุณต่างหากที่อยู่ในโลกของความฝัน”

เมื่อเพื่อนบอกอำลา ผมก็ตอบเขาในทำนองนี้ว่า “อย่าพูดว่าลาก่อน การจากก็คือการจาก” ดูเหมือนเพื่อนจะรู้สึกหมดหวังกับผม]

 

เข้าใจยิ่งกว่าจะพูดว่าเข้าใจ นั่นไม่ใช่ชีวิตฉันด้วยหรอกหรือ กับการใคร่ครวญสงสัยมาเสมอว่าเรากำลังอยู่ที่ไหน มีโลกในความฝันที่เราตื่นอยู่ หรือเราเพียงไม่รู้ตัวว่า ตัวตนที่แท้ของเราต่างหากกำลังหลับฝัน จริงกับลวงวัดกันอย่างไร ในโลกของผีเสื้อตัวหนึ่ง มนุษย์คืออะไรสำหรับพวกมัน?

และในโลกของฉัน โลกของคนอย่างฟูกูโอกะ ก่อนและหลังที่เขาเขียนประโยคนั้นว่า

[ผมรู้สึกเพลิดเพลินกับการเร่ร่อนจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งเหมือนกับสายลม ผมเที่ยวได้ท้าทายใครต่อใครถึงความเชื่อมั่นของตนเองที่ว่า ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนไร้ความหมาย และปราศจากคุณค่า และสรรพสิ่งกลับคืนสู่ความว่าง]

เขายังมีความคิดประเภทไหนอีก

อะไรอีก ที่ทำให้เขาบันทึกไว้แบบนั้น

[แต่นี่ก็อาจจะมากเกินไป หรือน้อยเกินไป สำหรับโลกทุกวันนี้ที่จะเข้าใจ…]

ฉันจะต้องใช้ชีวิตต่อไปอีกแบบไหน? จะต้องอยู่ยังไง จึงจะมีวันที่ “เข้าใจโลกได้เหมาะเจาะ” อย่างมาซาโนบุ ฟูกูโอกะ?

—————————————————————————————————————————-

(1) จากหนังสือ ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ เขียน รสนา โตสิตระกูล แปล