คุยกับ “แอนดริว เกร็กสัน” เรื่องความติสต์ เป็นพระเอกเทวดา-เรื่องที่ทำอะไรไม่ได้จริงๆ

“อยู่มาขนาดนี้ ผมก็ขอบคุณพระเจ้าแล้ว” แอนดริว เกร็กสัน พระเอกในดวงใจของใครหลายๆ คนพูดถึงความรู้สึกที่ได้ทำงานในวงการบันเทิงมายาวนาน

แล้วก็ยิ้ม

ด้วยจะว่าไป ชายวัยย่าง 42 ปี ที่ประกาศตัวว่าเป็นนักแสดงรับจ้าง และพร้อมทำงานทั้งในและนอกราชอาณาจักร ก็เริ่มทำงานตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ถ่ายโฆษณา ถ่ายแบบ ตั้งแต่อายุ 13-14 ปี ก่อนจะขยับมาแสดงภาพยนตร์ แสดงละคร และเป็นพิธีกร นับๆ แล้วก็เท่ากับอยู่ในวงการมาเกือบ 30 ปีทีเดียว

สิ่งหนึ่งที่เราๆ คงเห็นตรงกันคือ ตลอดเวลานั้นเขา “เลือก” ที่จะรับงาน อีกทั้งงานที่เขาเลือกก็มีจำนวนไม่มาก เหตุผลนั้นเป็นเพราะอะไรเขาไม่ได้บอกแบบชัดๆ

หากยอมรับว่าทุกเรื่องที่เขารับเล่น “บท” ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในการตัดสินใจ

ล่าสุดที่แอนดริวรับไว้ก็คือ ละครเรื่อง “วุ่นรักนักข่าว” ซึ่งเขารับบทเป็นผู้ประกาศข่าวคนดัง ที่มีนุ่น-วรนุช ภิรมย์ภักดี เป็นคู่รัก คู่ขวัญ คู่อ่านข่าวและเพราะเหตุนั้นนอกจากจะส่งผลหนุนให้ชื่อเสียงส่วนตัวแล้ว ยังส่งผลให้เรตติ้งรายการพุ่งกระฉูด

“ในทีวีเรารักกันดี…” มีข่าวเรื่องเตรียมแผนแต่งงานแล้วด้วยซ้ำ เขาเล่า

“แต่จริงๆ แล้ว เราไม่คุยกัน เพราะผมทรยศความไว้ใจของเขา”

ด้วยแม้จะรัก หากด้วยความทะเยอทะยาน อยากมีรายการเป็นของตัวเอง เขาจึงตัดสินใจกิ๊กกับณัฐ ศักดาทร ลูกชายของผู้บริหารสถานี

โอ๊ยยยย…คบซ้อนสินี่

หากทั้งๆ ที่ต่างฝ่ายต่างรู้ ก็ยังต้องฝืนทำดีใส่กัน “เพราะคนดูชอบที่เราเป็นคู่ขวัญ”

:(((

ในเรื่องการแสดงระหว่างชายกับชาย แอนดริวบอกว่า สำหรับเขานั้นถือว่าไม่ยาก

“นัวเนียกับผู้ชายง่ายมาก” บอกพลางหัวเราะเบาๆ

ก่อนเข้าสู่โหมดจริงจังโดยบอกว่า นั่นเพราะสิ่งที่ละครนำเสนอ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเซ็กซ์ เป็นแค่กิมมิกหนึ่งในเรื่อง แต่ที่รู้สึกว่ายากกว่า คือการสวมบทบาทผู้ประกาศข่าว ซึ่งเขาคงจะต้องฝึกฝนด้วยการอ่านข่าวให้แมว สัตว์เลี้ยงแสนโปรดฟังบ่อยๆ

แอนดริวยังว่า ตามความคิดของเขา ละครเรื่องนี้มีอะไรหลายอย่างที่ตั้งใจบอกกับคนดู หลักๆ ก็คือ เรื่องของการปกปิดและไม่พูดความจริง ที่ส่งผลให้เกิดอะไรหลายอย่างตามมา

“พอโกหกไปแล้วเรื่องหนึ่ง ก็มีอะไรที่ต้องปกปิดไปเรื่อยๆ ไปอุดรอยรั่วเต็มไปหมด ในท้ายที่สุด ถ้าเราอยู่กับมันไปได้และไม่บ้าตายไปก่อน คนอื่นก็ต้องรู้จนได้”

กับชื่อของแอนดริว เกร็กสัน ที่มักมาพร้อมความคาดหวังของแฟนๆ นั้น เขาบอกว่า ตัวเองคงไม่สามารถทำอะไรในจุดนั้นได้มากไปกว่าการศึกษาบท ตั้งใจทำงาน และสนุกไปกับมันให้ถึงที่สุด

“เราทำอะไรมากกว่านั้นไม่ได้หรอก ก็ทำในส่วนของเราให้เต็มที่ ที่เหลือมันเป็นที่ผู้ร่วมงานช่วยกัน”

ซึ่ง “ถ้าทำแบบนั้นได้ ก็ไม่กดดันครับ”

และแน่นอนว่า เขาเองได้พยายามทำมาตลอด

ว่าด้วยเรื่อง “ติสต์”

“ผมได้รับการปลูกฝังมาว่า งานศิลปะมันต้องยกระดับจิตใจ แต่ว่าทุกวันนี้ทุกคนทำงานศิลปะกันหมด แล้วก็เยอะเหลือเกิน พอเป็นอาร์ติสต์แล้วก็ชอบเอาแต่ใจ คิดว่านั่นคือทางที่ถูก ซึ่งก็ไม่ผิดนะ มันไม่มีอะไรผิด อะไรถูก”

“แต่ว่าสุดท้ายแล้ว งานของเรายกระดับจิตใจของคนดูหรือไม่”

ครั้นเมื่อถามถึงเรื่องที่ “ว่ากันว่า” เขาน่ะก็ติสต์

“ไม่ๆๆ” แอนดริวปฏิเสธมารัวๆ

ก่อนขยาย “ถ้าพูดคำว่าติสต์ในภาษาพูดของคนไทยบ้านเรา มันเหมือนจะเป็นคำด่า”

อย่างไรก็ดี การที่มีคนพูดแบบนี้ถึงเขา นั่นก็แล้วแต่

“พูดอะไรก็พูดไปเถอะ” แอนดริวบอก

“ชอบตั้งฉายา ชื่อเล่น แล้วก็ประทับตราให้ ซึ่งถ้าเราไปสนใจอะไรมาก บางทีมันก็คิดมากเกินไป ไปสนใจเรื่องพวกนี้ไม่ได้ ต้องโฟกัสอย่างอื่น”

เรื่องที่ถูกเรียกเป็นพระเอกเทวดานั่น พอถามว่าได้ยินแล้วโกรธไหม?

“โอ๊ย ยิ่งกว่าเทวดาอีก” พูดแล้วแอนดริวก็หัวเราะ

“ผมก็ต้องสนุกกับมันแบบนี้” ผมบอก

แล้วจึงว่า

“จริงๆ มันอยู่ที่เวลาที่พูดนะ พูดกันขำๆ ด้วยอารมณ์และความรู้สึกที่ผมรับรู้ได้ว่ามันไม่มีอะไร แต่บางคนไม่ต้องเป็นคำนี้หรอก แค่เป็นคำบางคำ แล้วใส่อารมณ์อีกอย่างที่ประชดประชันเข้าไป เราก็รับรู้ได้ แล้วมันไม่โอเคกับเรา”

“มันอยู่ที่เจตนามากกว่า”

ที่ผ่านมากับเรื่องเหล่านี้ แอนดริวบอกว่าที่เขาทำได้คือพยายามจะไม่อ่าน เพื่อจะได้ไม่รับรู้

แต่ “มันก็หาทางที่จะเข้าถึง มาตรงหน้าเราได้อยู่ดี”

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ได้แต่หัวเราะใส่ เหมือนตอนที่ให้คำตอบเรื่องนี้เมื่อตอนต้นนั่นไง