เปิดคำพิพากษาศาลฎีกา คุกชั่วชีวิต ส.ส.ครรชิต รัวฆ่าโหด”นายกตุ่น”เหตุแค้นดูหมิ่นศักดิ์ศรี

ในที่สุดคดีที่ยืดเยื้อยาวนานมากว่า 5 ปี ก็ถึงบทสรุปเสียที

เมื่อศาลฎีกาอ่านคำพิพากษาในคดีที่อดีต ส.ส. คนดังแห่งพรรคประชาธิปัตย์ นายครรชิต ทับสุวรรณ ก่อเหตุยิงนายก อบจ.สมุทรสาคร เสียชีวิตคาปั๊มน้ำมันในเวลากลางวันแสกๆ

ก่อนจะหลบหนีไปและมอบตัวในเวลาต่อมา

ซึ่งแม้เจ้าตัวจะปฏิเสธ โดยกล่าวอ้างว่าไปภารกิจที่ต่างจังหวัด

แต่ด้วยพยานหลักฐานที่มัดแน่น ทำให้ศาลชั้นต้นพิพากษาประหารชีวิต

ก่อนที่ศาลอุทธรณ์จะตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต

มาถึงขั้นศาลฎีกา ก็ให้พิพากษายืนจำคุกตลอดชีวิตเช่นกัน

โดยให้เหตุผลว่าไม่ใช่การฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

3-86-696x482
ศาลฎีกาจำคุกครรชิตชั่วชีวิต

เช้าวันที่ 8 ธันวาคม ที่ห้องพิจารณาคดี ศาลจังหวัดสมุทรสาคร น.ส.ดาสินี มาลัยพงษ์ ผู้พิพากษาศาลจังหวัดสมุทรสาคร ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีที่ นายครรชิต ทับสุวรรณ อดีต ส.ส.สมุทรสาคร พรรคประชาธิปัตย์ เป็นจำเลยข้อหายิง นายอุดร ไกรวัตนุสสรณ์ หรือนายกตุ่น อดีตนายก อบจ.สมุทรสงคราม เสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2554 ตามคดีหมายเลขดำที่ อ.4591/2555 และคดีหมายเลขแดงที่ อ.6440/2557

โดยเนื้อหาคำพิพากษาระบุว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงนายอุดร ถึงแก่ความตาย เจ้าหน้าที่ตำรวจยึดปลอกกระสุนปืน 10 ปลอก หัวกระสุนปืน 3 หัว เศษหัวกระสุนปืน 13 ชิ้นในที่เกิดเหตุ และหัวกระสุนปืน 2 หัวจากศพผู้ตาย

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าเป็นคนร้ายหรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมมี นายทองพูล พนาราบ คนขับรถ อบจ.สมุทรสาคร ที่มีหน้าที่ขับรถให้ผู้ตาย โดยวันเกิดเหตุเวลา 9 นาฬิกาเศษ ขับรถโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ พาผู้ตายไปงานต่างๆ หลายแห่ง จนกระทั่งเวลาประมาณ 15.00 น. ผู้ตายขอแวะเข้าห้องน้ำ

พยานพาผู้ตายไปส่งหน้าห้องน้ำที่ปั๊มน้ำมัน ปตท.รุ่งสาคร แล้วถอยรถหันหน้าออกด้านนอก และนั่งรออยู่บนรถ เห็นรถกระบะ 4 ประตู ยี่ห้อโตโยต้า วีโก้ สีบรอนซ์ทอง แล่นมาจอดหน้าห้องน้ำ

ระหว่างนั้นก็ดับเครื่องยนต์ลงไปซื้อน้ำดื่มที่ร้านสะดวกซื้อในปั๊ม ห่างจากห้องน้ำประมาณ 10 เมตร เมื่อเดินถึงหัวมุมร้าน ได้ยินเสียงดังปัง ปัง ปัง

เมื่อหันกลับมาดูพบจำเลยถืออาวุธปืนยืนอยู่หน้าห้องน้ำ ทำท่าจะรีบขึ้นรถ ส่วนผู้ตายนอนอยู่บนฟุตปาธ จึงรีบวิ่งเข้าไปดึงตัวจำเลย แต่จำเลยหันมาใช้ปืนจ่อหน้าผาก จ้องหน้าพร้อมพูดว่า “เดี๋ยวมึง”

จึงตกใจยกมือไหว้พร้อมพูดว่า “ประทานโทษครับท่าน” แล้วจึงวิ่งหลบหนีไปซ่อนตัวที่ร้านกาแฟใกล้ๆ ก่อนโทรศัพท์เรียกคนมาช่วย

พยานระบุว่าไม่รู้จักชื่อคนยิงแต่จำหน้าได้แม่น คนร้ายรูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดซาฟารีสีดำแขนสั้น จากนั้นให้การกับตำรวจว่าจำเลยเป็นคนร้าย

นอกจากนี้ ยังเบิกความยืนยันได้ว่าพยานและจำเลยรู้จักกันมานานแล้ว เพราะจำเลยเป็น ส.ส.สมุทรสาคร จึงเคยพบกันตามงานต่างๆ หลายครั้ง ทุกครั้งที่พบก็มักยกมือไหว้จำเลย

เมื่อผู้ตายถูกยิง พยานวิ่งไปที่คนร้ายทันที แสดงว่ารู้ดีว่าคนร้ายคือใคร หากคนร้ายเป็นคนอื่น หรือมือปืนรับจ้างทั่วไปเชื่อว่าผู้เสียหายไม่กล้าวิ่งเข้าไปหา เพราะมีโอกาสจะถูกยิงเสียชีวิตได้

ยิ่งพยานอื่นยืนยันว่ามีการไหว้คนร้ายจริง เชื่อได้ว่าคนร้ายคือจำเลย ซึ่งเป็น ส.ส. เป็นผู้ใหญ่ของ จ.สมุทรสาคร เมื่อรวมกับพยานอื่นๆ

จึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยเป็นคนร้าย

1-159-696x376

ญาติจุดธูปบอกวิญญาณนายกตุ่น

ประเด็นฎีกาต่อมาว่าการสอบสวนกระทำโดยมิชอบ เพราะจำเลยเป็น ส.ส.สมุทรสาคร ขณะเกิดเหตุอยู่ในสมัยประชุมรัฐสภา สมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ พ.ศ.2554 ซึ่งระหว่างสมัยประชุม ห้ามมิให้จับ คุมขัง หรือหมายเรียกตัว ส.ส. ไปสอบสวน ในฐานะผู้ต้องหาคดีอาญา เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากสภาที่ผู้รับเป็นสมาชิก หรือกรณีจับขณะกระทำความผิด

แต่พนักงานสอบสวนยังขอให้ศาลออกหมายจับ โดยฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ ทำการสอบสวนโดยไม่ชอบ ทำให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

โดยเรื่องนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยไว้โดยละเอียดว่าจำเลยสมัครใจไปมอบตัวต่อพนักงานสอบสวนเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ และจำเลยเคยแถลงต่อสื่อมวลชนขอสละสิทธิคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ

นอกจากนี้ พรรคประชาธิปัตย์ที่จำเลยสังกัด ยังแถลงต่อสื่อมวลชนเช่นเดียวกันว่าจำเลยจะไม่ขอใช้เอกสิทธิ์ ส.ส.

ข้อเท็จจริงจึงรับฟังเป็นยุติตามความพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ว่าจำเลยได้สละเอกสิทธิ์ที่จะไม่ถูกสอบสวนในระหว่างสมัยประชุม อีกทั้งบทบัญญัติดังกล่าวไม่ใช่ข้อห้ามโดยเด็ดขาด เพราะยังยกเว้นให้สอบสวนได้ในกรณีได้รับอนุญาตจากสภา

เมื่อจำเลยสมัครใจไปมอบตัว และแถลงสละเอกสิทธิ์คุ้มครอง จึงไม่ใช่ข้ออ้างไม่ยอมให้พนักงานสอบสวนสอบสวนระหว่างสมัยประชุม จึงไม่อาจยกเป็นข้ออ้างได้ว่าการสอบสวนไม่ชอบ

ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

คดีนี้มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ เห็นว่าแม้โจทก์จะมีพยานเบิกความว่าผู้ตายชอบพูดจาหยอกล้อว่าเห็นหญิงสาวที่มีความสัมพันธ์ชู้สาวกับพยาน ที่ไปกับจำเลย เดี๋ยวดูก่อนว่าลูกออกมาคิ้วเหมือนใคร ซึ่งอาจสร้างความอับอายโกรธเคืองผู้ตาย

แต่ก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ทราบถึงคำพูดดังกล่าว อันเป็นเหตุให้จำเลยโกรธแค้นตระเตรียมอาวุธปืนไปตามยิงผู้ตายในที่เกิดเหตุเพราะสาเหตุดังกล่าว

ในคดีอาญาโจกท์มีหน้าที่นำสืบให้รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิด แต่เมื่อไม่สามารถนำสืบได้ จึงมีข้อน่าระแวงสงสัยเพราะจำเลยอาจไปพบผู้ตายโดยบังเอิญ แล้วตัดสินใจยิงผู้ตายในทันทีก็ได้

พฤติการณ์แห่งคดียังไม่พอรับฟังได้ว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษานั้นชอบแล้ว

ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ศาลฎีกาเห็นว่าเหมาะสมแล้ว

ส่วนเรื่องค่าสินไหมทดแทนแก่ นายมณฑล ไกรวัตนุสสรณ์ โจทก์ร่วม นางพอใจ ไกรวัตนุสสรณ์ มารดาของผู้เสียชีวิต น.ส.สุรัจนา ศิลาสุวรรณ ภรรยา ด.ช.แทนไทย และ ด.ญ.แทนพิม ไกรวัตนุสสรณ์ บุตร-ธิดา ของผู้เสียชีวิต พิพากษาแก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

หลังจากรับฟังคำพิพากษา นายอุดม ไกรวัตนุสสรณ์ อดีต ส.ส.สมุทรสาคร น้องชายของนายอุดร เดินทางไปที่วัดเจษฎาราม พระอารามหลวง พร้อม น.ส.อุไร ไกรวัตนุสสรณ์ น้องสาวผู้เสียชีวิต และ นายอนุสรณ์ ไกรวัตนุสสรณ์ น้องชายคนเล็ก เพื่อจุดธูปไหว้กระดูกและดวงวิญญาณต่อหน้ารูปของนายอุดร พร้อมกับบอกพี่ชายคนโตถึงคำพิพากษาศาลฎีกา

ปิดฉากคดีเลือด คืนความยุติธรรมให้ครอบครัวไกรวัฒนุสสรณ์

2-104-696x523
เปิดชนวนฆ่าหมิ่นศักดิ์ศรี

สําหรับคดีโหดครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2554 ขณะที่ นายอุดร หรือนายกตุ่น เดินสายร่วมเปิดงานต่างๆ ในฐานะนายก อบจ.สมุทรสาคร ก่อนแวะห้องน้ำในปั๊มน้ำมัน ปตท.

ระหว่างนั้น รถกระบะวีโก้ สีบรอนซ์ทอง ขับเข้ามาจอดข้างๆ ชายรูปร่างสูงใหญ่ใส่ชุดซาฟารีสีเข้มลงจากรถ และเข้าไปพูดคุยกับนายกตุ่น ที่หน้าห้องน้ำ แล้วชักปืนพกขนาด .40 ออกมารัวยิงนายกตุ่น ถึง 9 นัดซ้อน เสียชีวิตคาที่ ต่อหน้าต่อตาคนขับรถและชาวบ้านที่แวะเข้ามาใช้บริการภายในปั๊ม

ส่วนคนร้ายกระโดดขึ้นรถและเร่งเครื่องหลบหนีไป

หลังจากเกิดเหตุสะเทือนขวัญเพียง 2 วัน นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ นำทีมกฎหมายและทนายความ พานายครรชิต เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ โดยนายครรชิตให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

โดยศาลชั้นต้นสั่งประหารชีวิต และศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นจำคุกตลอดชีวิต

สำหรับหลักฐานที่มัดแน่นจนนายครรชิต ดิ้นไม่หลุด นอกจากคำให้การของพยาน ยังมีปมเรื่องอาวุธสังหาร ซึ่งก็คือปืนกล็อก ขนาด .40 ที่มีไว้ครอบครอง ซึ่งในพื้นที่สมุทรสาคร พบมีเพียง 8 กระบอก 1 ในนั้นมีนายครรชิตครอบครองอยู่ด้วย

เมื่อตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ ก็พบว่าปลอกกระสุนปืนที่ตกอยู่ในจุดเกิดเหตุ มีดีเอ็นเอของนายครรชิตติดอยู่ จึงเป็นอีกหลักฐานสำคัญที่มัดแน่นยากจะดิ้นหลุด

สำหรับชนวนเหตุในการสังหารโหดเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับประเด็นทางการเมือง แต่จากการสอบสวนเชิงลึกพบเป็นเรื่องเกี่ยวกับศักดิ์ศรี

โดยนายกตุ่น เคยมีเลขาฯ สาวคู่ใจที่ทำงานด้วยกันหลายปีและสนิทสนมกันมาก ต่อมาเลขาฯ คนดังกล่าว ลาออกไปทำงานที่อื่น กระทั่งได้รู้จักกับนายครรชิต

ต่อมานายครรชิตไม่พอใจที่นายกตุ่นชอบพาดพิงถึงหญิงสาวคนดังกล่าว และเกือบมีเรื่องกันหลายครั้ง

เป็นเหตุสลดที่เกิดจากเรื่องศักดิ์ศรีนั่นเอง