ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 16 - 22 ธันวาคม 2559 |
---|---|
คอลัมน์ | อาชญากรรม |
เผยแพร่ |
ในที่สุดคดีที่ยืดเยื้อยาวนานมากว่า 5 ปี ก็ถึงบทสรุปเสียที
เมื่อศาลฎีกาอ่านคำพิพากษาในคดีที่อดีต ส.ส. คนดังแห่งพรรคประชาธิปัตย์ นายครรชิต ทับสุวรรณ ก่อเหตุยิงนายก อบจ.สมุทรสาคร เสียชีวิตคาปั๊มน้ำมันในเวลากลางวันแสกๆ
ก่อนจะหลบหนีไปและมอบตัวในเวลาต่อมา
ซึ่งแม้เจ้าตัวจะปฏิเสธ โดยกล่าวอ้างว่าไปภารกิจที่ต่างจังหวัด
แต่ด้วยพยานหลักฐานที่มัดแน่น ทำให้ศาลชั้นต้นพิพากษาประหารชีวิต
ก่อนที่ศาลอุทธรณ์จะตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต
มาถึงขั้นศาลฎีกา ก็ให้พิพากษายืนจำคุกตลอดชีวิตเช่นกัน
โดยให้เหตุผลว่าไม่ใช่การฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ศาลฎีกาจำคุกครรชิตชั่วชีวิต
เช้าวันที่ 8 ธันวาคม ที่ห้องพิจารณาคดี ศาลจังหวัดสมุทรสาคร น.ส.ดาสินี มาลัยพงษ์ ผู้พิพากษาศาลจังหวัดสมุทรสาคร ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีที่ นายครรชิต ทับสุวรรณ อดีต ส.ส.สมุทรสาคร พรรคประชาธิปัตย์ เป็นจำเลยข้อหายิง นายอุดร ไกรวัตนุสสรณ์ หรือนายกตุ่น อดีตนายก อบจ.สมุทรสงคราม เสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2554 ตามคดีหมายเลขดำที่ อ.4591/2555 และคดีหมายเลขแดงที่ อ.6440/2557
โดยเนื้อหาคำพิพากษาระบุว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงนายอุดร ถึงแก่ความตาย เจ้าหน้าที่ตำรวจยึดปลอกกระสุนปืน 10 ปลอก หัวกระสุนปืน 3 หัว เศษหัวกระสุนปืน 13 ชิ้นในที่เกิดเหตุ และหัวกระสุนปืน 2 หัวจากศพผู้ตาย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าเป็นคนร้ายหรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมมี นายทองพูล พนาราบ คนขับรถ อบจ.สมุทรสาคร ที่มีหน้าที่ขับรถให้ผู้ตาย โดยวันเกิดเหตุเวลา 9 นาฬิกาเศษ ขับรถโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ พาผู้ตายไปงานต่างๆ หลายแห่ง จนกระทั่งเวลาประมาณ 15.00 น. ผู้ตายขอแวะเข้าห้องน้ำ
พยานพาผู้ตายไปส่งหน้าห้องน้ำที่ปั๊มน้ำมัน ปตท.รุ่งสาคร แล้วถอยรถหันหน้าออกด้านนอก และนั่งรออยู่บนรถ เห็นรถกระบะ 4 ประตู ยี่ห้อโตโยต้า วีโก้ สีบรอนซ์ทอง แล่นมาจอดหน้าห้องน้ำ
ระหว่างนั้นก็ดับเครื่องยนต์ลงไปซื้อน้ำดื่มที่ร้านสะดวกซื้อในปั๊ม ห่างจากห้องน้ำประมาณ 10 เมตร เมื่อเดินถึงหัวมุมร้าน ได้ยินเสียงดังปัง ปัง ปัง
เมื่อหันกลับมาดูพบจำเลยถืออาวุธปืนยืนอยู่หน้าห้องน้ำ ทำท่าจะรีบขึ้นรถ ส่วนผู้ตายนอนอยู่บนฟุตปาธ จึงรีบวิ่งเข้าไปดึงตัวจำเลย แต่จำเลยหันมาใช้ปืนจ่อหน้าผาก จ้องหน้าพร้อมพูดว่า “เดี๋ยวมึง”
จึงตกใจยกมือไหว้พร้อมพูดว่า “ประทานโทษครับท่าน” แล้วจึงวิ่งหลบหนีไปซ่อนตัวที่ร้านกาแฟใกล้ๆ ก่อนโทรศัพท์เรียกคนมาช่วย
พยานระบุว่าไม่รู้จักชื่อคนยิงแต่จำหน้าได้แม่น คนร้ายรูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดซาฟารีสีดำแขนสั้น จากนั้นให้การกับตำรวจว่าจำเลยเป็นคนร้าย
นอกจากนี้ ยังเบิกความยืนยันได้ว่าพยานและจำเลยรู้จักกันมานานแล้ว เพราะจำเลยเป็น ส.ส.สมุทรสาคร จึงเคยพบกันตามงานต่างๆ หลายครั้ง ทุกครั้งที่พบก็มักยกมือไหว้จำเลย
เมื่อผู้ตายถูกยิง พยานวิ่งไปที่คนร้ายทันที แสดงว่ารู้ดีว่าคนร้ายคือใคร หากคนร้ายเป็นคนอื่น หรือมือปืนรับจ้างทั่วไปเชื่อว่าผู้เสียหายไม่กล้าวิ่งเข้าไปหา เพราะมีโอกาสจะถูกยิงเสียชีวิตได้
ยิ่งพยานอื่นยืนยันว่ามีการไหว้คนร้ายจริง เชื่อได้ว่าคนร้ายคือจำเลย ซึ่งเป็น ส.ส. เป็นผู้ใหญ่ของ จ.สมุทรสาคร เมื่อรวมกับพยานอื่นๆ
จึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยเป็นคนร้าย
ญาติจุดธูปบอกวิญญาณนายกตุ่น
ประเด็นฎีกาต่อมาว่าการสอบสวนกระทำโดยมิชอบ เพราะจำเลยเป็น ส.ส.สมุทรสาคร ขณะเกิดเหตุอยู่ในสมัยประชุมรัฐสภา สมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ พ.ศ.2554 ซึ่งระหว่างสมัยประชุม ห้ามมิให้จับ คุมขัง หรือหมายเรียกตัว ส.ส. ไปสอบสวน ในฐานะผู้ต้องหาคดีอาญา เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากสภาที่ผู้รับเป็นสมาชิก หรือกรณีจับขณะกระทำความผิด
แต่พนักงานสอบสวนยังขอให้ศาลออกหมายจับ โดยฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ ทำการสอบสวนโดยไม่ชอบ ทำให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
โดยเรื่องนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยไว้โดยละเอียดว่าจำเลยสมัครใจไปมอบตัวต่อพนักงานสอบสวนเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ และจำเลยเคยแถลงต่อสื่อมวลชนขอสละสิทธิคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้ พรรคประชาธิปัตย์ที่จำเลยสังกัด ยังแถลงต่อสื่อมวลชนเช่นเดียวกันว่าจำเลยจะไม่ขอใช้เอกสิทธิ์ ส.ส.
ข้อเท็จจริงจึงรับฟังเป็นยุติตามความพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ว่าจำเลยได้สละเอกสิทธิ์ที่จะไม่ถูกสอบสวนในระหว่างสมัยประชุม อีกทั้งบทบัญญัติดังกล่าวไม่ใช่ข้อห้ามโดยเด็ดขาด เพราะยังยกเว้นให้สอบสวนได้ในกรณีได้รับอนุญาตจากสภา
เมื่อจำเลยสมัครใจไปมอบตัว และแถลงสละเอกสิทธิ์คุ้มครอง จึงไม่ใช่ข้ออ้างไม่ยอมให้พนักงานสอบสวนสอบสวนระหว่างสมัยประชุม จึงไม่อาจยกเป็นข้ออ้างได้ว่าการสอบสวนไม่ชอบ
ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
คดีนี้มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ เห็นว่าแม้โจทก์จะมีพยานเบิกความว่าผู้ตายชอบพูดจาหยอกล้อว่าเห็นหญิงสาวที่มีความสัมพันธ์ชู้สาวกับพยาน ที่ไปกับจำเลย เดี๋ยวดูก่อนว่าลูกออกมาคิ้วเหมือนใคร ซึ่งอาจสร้างความอับอายโกรธเคืองผู้ตาย
แต่ก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ทราบถึงคำพูดดังกล่าว อันเป็นเหตุให้จำเลยโกรธแค้นตระเตรียมอาวุธปืนไปตามยิงผู้ตายในที่เกิดเหตุเพราะสาเหตุดังกล่าว
ในคดีอาญาโจกท์มีหน้าที่นำสืบให้รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิด แต่เมื่อไม่สามารถนำสืบได้ จึงมีข้อน่าระแวงสงสัยเพราะจำเลยอาจไปพบผู้ตายโดยบังเอิญ แล้วตัดสินใจยิงผู้ตายในทันทีก็ได้
พฤติการณ์แห่งคดียังไม่พอรับฟังได้ว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษานั้นชอบแล้ว
ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ศาลฎีกาเห็นว่าเหมาะสมแล้ว
ส่วนเรื่องค่าสินไหมทดแทนแก่ นายมณฑล ไกรวัตนุสสรณ์ โจทก์ร่วม นางพอใจ ไกรวัตนุสสรณ์ มารดาของผู้เสียชีวิต น.ส.สุรัจนา ศิลาสุวรรณ ภรรยา ด.ช.แทนไทย และ ด.ญ.แทนพิม ไกรวัตนุสสรณ์ บุตร-ธิดา ของผู้เสียชีวิต พิพากษาแก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
หลังจากรับฟังคำพิพากษา นายอุดม ไกรวัตนุสสรณ์ อดีต ส.ส.สมุทรสาคร น้องชายของนายอุดร เดินทางไปที่วัดเจษฎาราม พระอารามหลวง พร้อม น.ส.อุไร ไกรวัตนุสสรณ์ น้องสาวผู้เสียชีวิต และ นายอนุสรณ์ ไกรวัตนุสสรณ์ น้องชายคนเล็ก เพื่อจุดธูปไหว้กระดูกและดวงวิญญาณต่อหน้ารูปของนายอุดร พร้อมกับบอกพี่ชายคนโตถึงคำพิพากษาศาลฎีกา
ปิดฉากคดีเลือด คืนความยุติธรรมให้ครอบครัวไกรวัฒนุสสรณ์
เปิดชนวนฆ่าหมิ่นศักดิ์ศรี
สําหรับคดีโหดครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2554 ขณะที่ นายอุดร หรือนายกตุ่น เดินสายร่วมเปิดงานต่างๆ ในฐานะนายก อบจ.สมุทรสาคร ก่อนแวะห้องน้ำในปั๊มน้ำมัน ปตท.
ระหว่างนั้น รถกระบะวีโก้ สีบรอนซ์ทอง ขับเข้ามาจอดข้างๆ ชายรูปร่างสูงใหญ่ใส่ชุดซาฟารีสีเข้มลงจากรถ และเข้าไปพูดคุยกับนายกตุ่น ที่หน้าห้องน้ำ แล้วชักปืนพกขนาด .40 ออกมารัวยิงนายกตุ่น ถึง 9 นัดซ้อน เสียชีวิตคาที่ ต่อหน้าต่อตาคนขับรถและชาวบ้านที่แวะเข้ามาใช้บริการภายในปั๊ม
ส่วนคนร้ายกระโดดขึ้นรถและเร่งเครื่องหลบหนีไป
หลังจากเกิดเหตุสะเทือนขวัญเพียง 2 วัน นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ นำทีมกฎหมายและทนายความ พานายครรชิต เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ โดยนายครรชิตให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
โดยศาลชั้นต้นสั่งประหารชีวิต และศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นจำคุกตลอดชีวิต
สำหรับหลักฐานที่มัดแน่นจนนายครรชิต ดิ้นไม่หลุด นอกจากคำให้การของพยาน ยังมีปมเรื่องอาวุธสังหาร ซึ่งก็คือปืนกล็อก ขนาด .40 ที่มีไว้ครอบครอง ซึ่งในพื้นที่สมุทรสาคร พบมีเพียง 8 กระบอก 1 ในนั้นมีนายครรชิตครอบครองอยู่ด้วย
เมื่อตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ ก็พบว่าปลอกกระสุนปืนที่ตกอยู่ในจุดเกิดเหตุ มีดีเอ็นเอของนายครรชิตติดอยู่ จึงเป็นอีกหลักฐานสำคัญที่มัดแน่นยากจะดิ้นหลุด
สำหรับชนวนเหตุในการสังหารโหดเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับประเด็นทางการเมือง แต่จากการสอบสวนเชิงลึกพบเป็นเรื่องเกี่ยวกับศักดิ์ศรี
โดยนายกตุ่น เคยมีเลขาฯ สาวคู่ใจที่ทำงานด้วยกันหลายปีและสนิทสนมกันมาก ต่อมาเลขาฯ คนดังกล่าว ลาออกไปทำงานที่อื่น กระทั่งได้รู้จักกับนายครรชิต
ต่อมานายครรชิตไม่พอใจที่นายกตุ่นชอบพาดพิงถึงหญิงสาวคนดังกล่าว และเกือบมีเรื่องกันหลายครั้ง
เป็นเหตุสลดที่เกิดจากเรื่องศักดิ์ศรีนั่นเอง