รู้หรือไม่ ? ในวรรณคดีไทย หลายเรื่องต่อไปนี้ กวีชอบใช้ ‘ดอกบัว’ เพื่อสื่อถึง ‘นมผู้หญิง’

ญาดา อารัมภีร

“นมนาง” อยู่ในความสนใจของกวีเสมอมา มีวรรณคดีหลายเรื่องกล่าวถึงนมผู้หญิงโดยเทียบเคียงกับดอกบัวทำให้รู้สึกถึงรูปทรงและความนุ่มละมุนที่ใกล้เคียงกัน

เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ทรงพรรณนาถึง “นมนาง” ไว้ในกาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศก ว่า

ชมบ่าอ่างามผาย อกหมายราบปราบกดานทอง

นมเคร่งเต่งทั้งสอง คือบงกชสดดอกขาว ฯ

ชมกายผายบ่าเจ้า ชายปอง

ทรวงราบปราบกดานทอง เรียบร้อย

นมเคร่งเต่งเต้าสอง เคียงคู่

คือบงกชสดน้อย เต่งตั้งดวงขาว ฯ

“บงกช” คือดอกบัว การเปรียบนมสตรีกับดอกบัวโดยเฉพาะดอกบัวสีขาวแสดงว่า นมที่ถือว่างามมีเนื้อนมสีขาวไม่ใช่ดำปิ๊ดปี๋ ทั้งยัง “เคร่งเต่งเต้าสอง” คือนมตั้งและเต่งตึง

ไม่ยาวยานแบบนางทองประศรีในเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ที่เด็กๆ ขู่ขวัญพลายงามว่ายายแกหวงต้นมะยมเหลือหลาย

และมีวิธีพิสดารลงโทษคนขโมยมะยมให้ทั้งเจ็บทั้งอาย

ถ้าลูกใครไปเล่นแกเห็นข้า แกจับเอานมยานฟัดกระบานหัว

มาถามหาว่าไรช่างไม่กลัว แกจับตัวตีตายยายนมยาน

ความเต่งตึงของนมนางนั้นเป็นที่ขึ้นชื่อในหมู่กวี ถ้าชมโฉมนางเอกเมื่อไหร่ต้องชมนมเมื่อนั้น ต่อให้ปลอมตัวเป็นชายก็เถอะ เรื่องนมนี้ปิดไม่มิด ดังที่ยาหงูทูลอิเหนาถึงอุณากรรณในวรรณคดีเรื่อง อิเหนา ตอนหนึ่งว่า

ทรวงเต่งเคร่งครัดดังบุษบง มิใช่ชายมั่นคงพระทรงไชย

“บุษบง” ก็คือดอกบัว ความหมายเดียวกับ “บงกช” นมนางบุษบาหรืออุณากรรณก็มีลักษณะเต่งตึงไม่ผิดอะไรกับนมนางข้างต้น ด้วยเหตุนี้กระมัง น.ม.ส. หรือ พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ จึงได้พรรณนาถึงนมนางหรือ “บัวบก” ว่าเหนือชั้นกว่า “บัวน้ำ” หรือดอกบัวที่มีรูปทรงคล้ายคลึงกันเป็นไหนๆ

บัวบก ณ อกอร อรชรชะอ้อนองค์

บัวน้ำ บ่ จำนง ผิวจับก็กลับวาง

ความหมายที่ น.ม.ส. ต้องการสื่อไว้ในเรื่อง พระนลคำฉันท์ คือนมผู้หญิงหรือ “บัวบก” น่าสัมผัสกว่า “บัวน้ำ” หรือดอกบัว หากได้จับต้องก็ยากจะปล่อยมือได้

พระเอกที่ให้ความสำคัญแก่ “นมนาง” มาโดยตลอด ไม่ว่าเจ้าของนมจะเป็นสาวบริสุทธิ์หรือผ่านมือชายมาแล้วก็คือ “พลายแก้ว” “เณรแก้ว” หรือ “ขุนแผน” นี่เอง นมที่เจ้าตัวพัวพันไม่ยอมเลิกเป็นของ “นางพิมพิลาไลย” หรือ “นางวันทอง” ดังที่วรรณคดีเรื่อง ขุนช้างขุนแผน เล่าไว้อย่างชวนให้ติดตาม

พลายแก้วและนางพิมเป็นเพื่อนเล่นกันมาแต่เด็ก จากกันไปหลายปี พบกันอีกทีก็เป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้ว พลายแก้วเองก็บวชเณรอยู่ แต่ความรักมันไม่เข้าใครออกใคร เณรแก้วเกิดอาการรักแล้วรอไม่ได้ อาศัยสายทองพี่เลี้ยงนางพิมเป็นแม่สื่อแม่ชักให้ได้พบกับนางพิมที่ไร่ฝ้าย ก่อนหน้านั้นก็ถือโอกาส “สึกเฉพาะกิจ” เพื่อไปผูกมิตรกับสาวพิม ด้วยการที่

จับผ้าคฤหัสถ์สะบัดคลี่ ผลัดแล้วจรลีหาช้าไม่

รีบก้าวสาวตีนไปไวไว ถึงไร่เข้าพลันทันที

พลายแก้วมีโอกาสบอกความในใจให้นางพิมรู้

พี่ติดตามมาด้วยความที่รักน้อง สายทองบอกบ้างฤาหาไม่

ตั้งแต่วันเทศนายิ่งอาลัย ครวญใคร่มิได้เว้นอารมณ์วาย

ยามนอนตาตื่นทั้งสี่ยาม ดังไฟตามติดอยู่ไม่รู้หาย

ร้อนโรคโศกเสียวอยู่เดียวดาย แม่สบายอยู่ฤๅประการใด

นางพิมเอาแต่ขวยเขินด้วยไม่เคยพูดจากัน แม้จะทำตัวไม่ถูกก็มิได้ตัดไมตรีเสียทีเดียว

จึงหลีกลดกระถดให้ห่างกัน นางผินผันหันเมินสะเทินหน้า

ชม้อยชม้ายชายดูแต่หางตา ไม่ตอบสั่งสนทนาประการใด

ความที่รูปหล่อ คารมดี คุ้นเคยกันมาก่อน พลายแก้วก็ทำให้นางพิมคลายความเคอะเขิน สนิทใจจนยอมพูดคุยด้วยและเตือนสติฝ่ายชายว่า

เป็นเพื่อนแล้วจะเชือนเข้าเป็นชู้ มิรู้ที่จะคิดอย่างไรได้

คิดว่าทักรักกันมาแต่ไร จึงเพ้อพาซื่อไปไม่สงกา

ไม่งามนะข้าห้ามเจ้าพลายแก้ว ทีนี้แล้วไปทีหลังอย่าได้ว่า

นั่งช้าข้าไทจะกลับมา ข้าจะลาแล้วลุกขึ้นทันใด

พลายแก้วใช้ลูกล่อลูกชนเจรจาจนเกิดอาการต่อปากต่อคำในเชิงเกี้ยวพาราสีกันไปมา ซึ่งเป็นสะพานนำไปสู่ความใกล้ชิดโดยไม่ยาก พลายแก้วใช้ทั้งปากเจรจาใช้ “มือปลาหมึก” ไขว่คว้าจู่โจมพร้อมๆ กันจนนางพิมตั้งตัวไม่ติด

ผลักมือรื้อฉวยชายสไบ เพราะอาลัยกำเริบที่ในทรวง

งดโทษพี่เถิดเจ้าจงเอาบุญ อย่าเคืองขุ่นคั่งแค้นเฝ้าแหนหวง

นมเจ้างอนงามปลั่งดั่งเงินยวง ประโลมล่วงน้องหน่อยอย่าน้อยใจ

พลางกอดน้องประคองขึ้นบนตัก จะแพลงผลักพลิกเลื่อนลงไปไหน

แล้วเปลื้องปลดลดชายให้คลายใจ นางฉวยฉุดยุดไว้ไม่วางมือ

นางพิมพยายามวิงวอนขอต่อรองเอาตัวรอดจากสถานการณ์คับขันอย่างสุดฤทธิ์

ตัวน้องมิใช่ของอันเคยขาย จะเรียงรายกลางหนหาควรไม่

พิเคราะห์ให้เหมาะก่อนเป็นไร กลับไปเถิดพ่อแก้วผู้แววตา

อดข้าวดอกนะเจ้าชีวิตวาย ไม่ตายดอกเพราะอดเสน่หา

นางก้มอยู่กับตักซบพักตรา เฝ้าวอนว่าไหว้พลางพ่อวางพิม

พลายแก้วยอมตามใจนางแต่มีข้อแม้ว่าขอเปลี่ยนสถานที่ไปหาที่บ้านตอนค่ำๆ แทน พลางทิ้งท้ายด้วยการที่

ช้อนคางพลางจูบประคองชม แนบเนื้อแนบนมเจ้าผ่องใส

พวงพุ่มตูมตั้งยังเป็นไต อาลัยลูบโลมทั้งกายา

ตกค่ำพลายแก้วไปหานางพิมถึงบ้านตามที่นัดแนะไว้ พอเข้าห้องนอนสาวได้ หนุ่มก็ใช้เวลาคุ้มค่าทุกนาที

ประเดี๋ยวจับประเดี๋ยวจูบเฝ้าลูบชม แก้มกับนมนี่เจ้าซื้อมาฤๅขา

พอเริ่มกระบวนการ “จับ-จูบ” ก็ “จบ” ด้วยการเป็นของกันและกันในที่สุด เช้าขึ้นก็จำใจจากทั้งที่ไม่อยากเลยแม้แต่น้อย พอตกค่ำ วัฏจักรความรักของทั้งคู่ก็ดำเนินไปเช่นนี้หลายต่อหลายคืนมิรู้เบื่อ พลายแก้วออกจะเป็นคนขี้เล่นมีอารมณ์ขันยั่วเย้านางพิม ดังที่กวีบรรยายว่า

พลางคะนองหยอกน้องกระแอมเสียง นางพิมเมียงเดินมานัยน์ตาก้ม

แก้มประทับกับจมูกมือถูกนม พิมหลบล้มร้องหวีดด้วยตกใจ

มีอะไรๆ กันสมรักสมที่คิดถึงแล้วก็อาบน้ำด้วยกันเสียเลย ลีลาพลายแก้วนั้นไม่เบา เพียรเติมสีสันรสชาติให้ความรักเป็นระยะๆ ตามจังหวะที่เหมาะสม

ครั้นถึงอ่างวางอยู่ที่นอกชาน สองสำราญขึ้นนั่งบนเตียงต่ำ

จึงไขน้ำจากบัวตะกั่วทำ น้ำก็พร่ำพรายพรูดูกระเด็น

เจ้าพลายชักชายสไบห่ม ฉันอายนมไฮ้หม่อมนะอย่าเล่น

ยังไม่เคยอาบน้ำตัวเปล่าเป็น เขาจะเห็นแล้วอย่ากวนฉันหน่อยเลย

อนิจจาอยู่แต่เจ้ากับตัวพี่ ไม่มีใครเห็นดอกเจ้าพิมเอ๋ย

อาบทั้งผ้าไม่น่าจะเย็นเลย พลางก็เผยผ้าน้องออกจากทรวง

พระจันทร์ลอยลีลาเวหาห้อง สอดส่องต้องเต้าดูขาวช่วง

น้ำกระทั่งหลั่งไหลกระทบทรวง ดังเพชรร่วงหรุบต้องกระจายพราย

มือไม้ของพลายแก้วไม่เคยอยู่นิ่ง แล้วรู้เสียด้วยว่าควรจะ “ต้อง” หรือ “ขยำ” เนื้อนวลส่วนไหนของนางพิม

พี่จะช่วยสีขี้ไคลให้สบาย มิให้ระคายเนื้อน้องเท่ายองใย

นางพิมนั่งใกล้เจ้าพลายแก้ว ยิ้มแล้วเหยียดแขนออกยื่นให้

เจ้าพลายกอดสอดรับถนัดใน โลมไล้ลูบเล่นละมุนมือ

ไฮ้อะไรไม่พอที่นี่มาทำ จะสีแขนมาขยำอย่างนี้หรือ

กระดี้กระเดียมจ้านรำคาญครือ ปัดมือหม่อมนี้จู้จี้จริง

แม้จะได้เสียกันก่อนหลายครั้งหลายครา แต่พลายแก้วและนางพิมก็ได้แต่งงานส่งตัวเข้าหออย่างถูกต้องตามประเพณีด้วยความเห็นชอบของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย คืนเข้าหอ “นมนางพิม” ก็ยังดึงดูดพลายแก้วมิรู้คลาย ดังตอนที่นางพิมพยายามจะบ่ายเบี่ยงด้วยมารยาสตรี แต่เจ้าบ่าวก็รุกเร้าไม่ยอมห่าง

มาจับมือรื้อรบอยู่เร่าเร่า หิวเหมือนอยากข้าวเจียวฤๅหม่อม

ร้อนเหลือเหงื่อตกกระปกกระปรอม แป้งหอมน้ำอบจะลูบตัว

เออเจ้าเอามาทากันเล่น พอเย็นเย็นใจมั่งจะยังชั่ว

เปิดนมกลมปลั่งดังดอกบัว แต่มัวมัวยังอล่างกระจ่างตา

ในที่สุดพลายแก้วก็ฉวยแป้งมาจัดการลูบไล้เนื้อนวลของนางพิมจนได้ แน่นอนย่อมไม่พลาดที่จะ “ทาของสำคัญของนางพิม”

เอามานี่เถิดพี่จะทาให้ ทาด้วยกันเถิดเป็นไรฟังพี่ว่า

ว่าพลางทางละลายแป้งทา ผินหน้ามาจะผัดให้เป็นนวล

จับพัดมากระพือให้แป้งแห้ง ดูดังแตงร่มใบเป็นนวลสงวน

กอดเคล้าเย้าหยอกเฝ้ายียวน เอาแป้งประอกอวลตะลึงใจ

“นมนางพิม” มีคุณภาพอย่างนี้ พลายแก้วหรือขุนแผนในเวลาต่อมาจึงแค้นนักที่นางพิมตกเป็นเมียขุนช้างที่ไม่ทะนุถนอมนางเหมือนอย่างตน ส่งผลให้นมนางพิมใกล้เคียง “นมหมดอายุ” เข้าไปทุกขณะ ตอนที่ขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้างเพื่อชิงตัวนางคืน เมื่อเห็นสภาพที่ผ่าน “ศึกหนัก” ของนาง

จะดูแก้มแก้มก็หมองไปหมดสิ้น นวลขมิ้นดอกนวลเนื้อหามีไม่

จะดูนมนมก็น่วมหลวมทรวงไป จะหาไตแต่สักนิดไม่มีเลย

ขุนแผนสุดแสนเสียดายนางพิมพิลาไลย (ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น “วันทอง” แล้วตอนนั้น) อย่างจับใจ ถึงกับรำพันด้วยความเคียดแค้นขุนช้างว่า

นิจจาเจ้าเศร้าซีดทั้งเนื้อนม บีบระบมเอาแล้วอ้ายห่าเหว

ขุนแผนพานางวันทองหนีขุนช้างไปในป่า ระหว่างนั้นก็อาบน้ำกลางสระบัวร่วมกันเป็นการ “ฟื้นความหลัง”

ชักชวนวันทองน้องยา ผลัดผ้าโผลงในท้องธาร

ว่ายกระทุ่มเที่ยวท่องในท้องน้ำ ผุดดำปรีดิ์เปรมเกษมสานต์

หัวระริกซิกซี้กันสำราญ บัวบานเกสรอ่อนลออ

น้ำใสไหลหลั่งศิลาลาด ใสสะอาดจริงจริงหนอเจ้าหนอ

แสนสบายว่ายรี่เฝ้าคลีคลอ ระริกรี้หัวร่อแล้วหยอกเย้า

นักรักระดับขุนแผนจะแค่ว่ายน้ำเล่นกับเมียเก่าคงเป็นไปไม่ได้ เนื้อนวลที่เคยคุ้นถ้ามองด้วยตาไม่ได้แตะต้อง ขุนแผนคงอัดใจตาย ดังนั้น จึงใช้มือให้เป็นประโยชน์ ทำไม่รู้ไม่ชี้กับเสียงบ่นของนางวันทอง

ทำยื่นแขนแอ่นแอ่นให้เมียสี ไฮ้อะไรขยำขยี้ที่นั่นเล่า

มิใช่การวานอย่ามาแกะเกา เปล่าดอกนั่นผงฤๅอะไร

ติดเต้านมน้องอยู่ดำดำ ลูบคลำหัวร่ออ่อเป็นไฝ

เอาน้ำสาดนมน้องคะนองใจ ไฮ้จู้จี้จ้านรำคาญจริง

ฉันหนาวนักไม่อาบด้วยหม่อมได้ ขึ้นไปนั่งหัวร่ออยู่บนตลิ่ง

“เสน่ห์นมนาง” ถึงจะผ่านการใช้งานมาแล้วก็ยังเป็นที่ต้องตาต้องใจไม่เสื่อมคลาย หลายปีต่อมาขนาดมีนางลาวทองกับนางแก้วกิริยาอยู่เคียงข้าง ต่างคนต่างแก่ตัวไปตามๆ กัน พลายงามลูกชายขุนแผนกับนางวันทองก็โตเป็นหนุ่ม รับราชการได้เป็นถึงจมื่นไวยวรนารถ ขุนแผนก็ยังไม่อาจตัดใจจากนางวันทองได้ ย่องไปหานางที่เรือนลูกชายกลางดึก

ว่าพลางทางแอบเข้าแนบอก ประคองยกของสำคัญมั่นหมาย

เจ้าเนื้อทิพย์หยิบชื่นอารมณ์ชาย ขอสบายสักหน่อยอย่าโกรธา

“นมนาง” จึงมิได้มีไว้ให้ลูกกินนมเท่านั้น แต่ยังเป็นของรักของหวงของ “พ่อของลูก” อีกด้วย ขุนแผนเป็นตัวอย่างที่ดีว่านานแค่ไหนก็ไม่ลืม