ประกวดเรื่องสั้นวิทยาศาสตร์ : “กลายพันธุ์”

โดย ชัยพัฒน์ ชูสุวรรณ

ผมควบคุมให้สตาร์ดัสเอ็กพลอยเลอร์ร่อนลงจอดตรงลานกว้าง ณ ใจกลางป่าสีเขียวขจี เมื่อกดปุ่มปล่อยม่านรังสีพรางตัวแล้ว ผมกับอิ้กกี้ก็เดินออกมาจากตัวยาน เราสองคนไม่ลืมที่จะพกอาวุธซึ่งเป็นปืนเลเซอร์ติดมือออกมาด้วย

ก่อนหน้านี้ครึ่งชั่วโมง ขณะที่เรากำลังจอดนิ่งบนท้องฟ้าของดาวดวงนี้เพื่อดูท่าที ลิซ่าซึ่งเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์สมองกลปัญญาประดิษฐ์ของยานรายงานว่า ดาวดวงนี้มีปัจจัยที่เอื้ออำนวยสำหรับการดำรงชีพ ไม่ว่าจะเป็นออกซิเจน น้ำและต้นไม้ เป็นดาวที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ผมดีใจจนกระโดดกอดอิ้กกี้ ถ้าทุกอย่างถูกต้อง ข้อมูลที่เราได้รับจากลิซ่า การเดินทางอันแสนยาวนานของเราจะได้สิ้นสุดเสียที

“เราจะปล่อยโพรบออกไปห้าตัว แกคิดว่าอย่างไรอิ้กกี้” ผมหันไปถามคู่หูที่ยืนอยู่ข้างๆ เราสองคนกระชับอาวุธในมือขณะที่กวาดตามองไปรอบๆ ตัว

“ฉันเห็นด้วยกับแก แต่โพรบอาจจะไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ” อิ้กกี้เตือน

“ประสิทธิภาพที่แกว่าหมายถึงเรื่องอะไร”

“ระยะหรือพิสัยในการทำงานของพวกมันมีไม่มาก เราอาจจะตรวจสอบได้ไม่ครอบคลุมทั้งผิวดาว แกลืมจุดนี้ไปได้อย่างไร”

จริงด้วย โพรบพวกนั้นมีระยะในการสื่อสารกับตัวยานและหน่วยควบคุมเพียงแค่ห้าร้อยเมตรเท่านั้น ถ้ามากไปกว่านี้พวกมันจะไม่ต่างอะไรไปจากเรือที่แล่นในมหาสมุทรกว้างใหญ่ โดยปราศจากหางเสือและเข็มทิศ

“แกมีทางออกอื่นๆ อีกไหม” ผมถาม มองไปรอบๆ ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน ดวงอาทิตย์สองดวงบนท้องฟ้าสาดแสงสว่างจ้าลงมาจนผมต้องปรับม่านตารับแสงให้หรี่เล็กลง มีต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นรายล้อมอยู่รอบตัว เบียดชิดกันหนาแน่น จนมองสิ่งที่อยู่ไกลออกไปได้ไม่ชัดเจน

“บอกได้เลยว่าไม่มี นอกจากนี้ ฉันยังรู้สึกไม่ไว้ใจที่นี่ด้วย นอร์ม นี่แกไม่สงสัยเลยหรือว่า เครื่องตรวจจับของเราตรวจไม่พบสิ่งมีชีวิตชนิดไหนเลย ไม่มีเสียงนกหรือแมลง แถมบนพื้นดินมดสักตัวก็ไม่มี”

“แกพูดถูก” ผมกำลังใช้ความคิด ดาวดวงนี้แตกต่างจากดาวก่อนหน้านี้ที่เราไปเยือน ที่นี่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ ให้เห็นนอกจากต้นไม้ที่ขึ้นหนาแน่นปกคลุมผิวดาวราวเก้าสิบแปดเปอร์เซ็นต์ จากที่ผมรู้มาจากข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้ในฐานข้อมูลของยาน ดาวที่มีปัจจัยเอื้ออำนวยต่อการเกิดของสิ่งมีชีวิต ย่อมต้องมีสิ่งมีชวิต แต่ก็อย่างว่าข้อมูลพวกนั้นอาจจะไม่ถูกต้องเสมอไป มันอาจจะใช้กับดวงดาวทุกดวงไม่ได้

ผมนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจในตอนนั้น หันไปทางอิ้กกี้

“เราจะออกสำรวจดาวดวงนี้กัน แกกับฉันจะออกไปพร้อมกันกับโพรบ หากถ้าไม่พบอะไรที่ข้างนอกนั่น เราก็จะได้เอายานขึ้นบินแล้วออกเดินทางต่อไป”

 

ผมกับอิ้กกี้ขึ้นไปนั่งบนโพรบซึ่งเป็นยานสำรวจขนาดเล็ก โพรบพาเราบินเหนือพื้นดินราวๆ สามเมตร จุดหมายคือบินไปยังบริเวณที่ห่างออกไปราวสี่ร้อยเมตร มันบินลัดเลาะไปตามที่ว่างระหว่างต้นไม้ ระหว่างทางเราสั่งให้โพรบส่งภาพรอบๆ ตัวกลับไปยังยานสตาร์ดัสเอ็กพลอยเลอร์ เพื่อให้ลิซ่าได้ตรวจสอบและวิเคราะห์เมื่อเรากลับไปที่ยาน

เวลาผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง การสำรวจกินอาณาเขตประมาณสี่ร้อยตารางเมตรรอบๆ ยาน เราไม่พบเจออะไรเลยนอกจากต้นไม้ สิ่งที่ผมสังเกตเห็นอย่างเดียวคือต้นไม้พวกนั้นมีหน้าตาที่เหมือนกันหมด นั่นคือพวกมันเป็นต้นไม้พันธุ์เดียวกัน ในบางขณะที่เราบินผ่านพวกมัน ผมรู้สึกว่าพวกมันกำลังจ้องมองเราอย่างเงียบๆ

หนึ่งชั่วโมงต่อมา ผมกับอิ้กกี้กลับไปที่ยาน ไม่ได้อะไรเลยนอกจากข้อมูลภูมิประเทศของดาวดวงนี้

“เราจะให้คอมพิวเตอร์วิเคราะห์ข้อมูลพวกนั้นออกมา สร้างเป็นภาพสามมิติ เผื่อจะได้เรื่องอะไรขึ้นมาบ้าง” ผมพูดขณะนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงโต๊ะกลมตัวเล็กๆ ใกล้ห้องควบคุมการบิน

อิ้กกี้ได้ยินที่ผมบอก เขาเสนอว่า “ฉันเห็นด้วยกับแก นอกจากนั้น พรุ่งนี้เราลองเอายานบินขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อเก็บข้อมูลจากมุมสูงดู”

ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ “แกคิดว่าท่านผู้สร้างจะอยู่ที่นี่ไหม”

“ฉันก็ไม่รู้ว่ะนอร์ม ตอนนี้สิ่งเดียวที่แกกับฉันรู้คือสภาพอากาศและภูมิประเทศที่นี่อยู่ในเงื่อนไขปัจจัยที่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตของท่านผู้สร้างของพวกเรา”

“ถ้าอย่างนั้น เรายังพอมีโอกาสพบพวกท่านใช่ไหม”

“ฉันว่าเราไม่สิ้นหวังไปซะทีเดียวนอร์ม เราเพิ่งมาถึงดาวดวงนี้ได้ไม่นาน แถมข้อมูลที่เรารวบรวมก็ยังไม่ได้ถูกวิเคราะห์ออกมาเป็นรายงานสรุป เพื่อใช้ในการตัดสินใจว่าควรจะเดินหน้าต่อไปยังดาวดวงอื่นหรือปักหลักค้นหาต่อที่นี่”

“ฉันว่ามันเริ่มนานเกินไปแล้วว่ะอิ้กกี้” ผมว่า “แกรู้ไหม ตลอดระยะทางร่วมๆ สามหมื่นปีแสงที่เราหมดไปกับการเดินทางตามหาท่านผู้สร้าง เราไม่ได้อะไรเลยนอกจากดาวแปลกหน้าที่เราไปเยือน มันเหมือนเรากำลังใช้มือคว้าความหวังที่ไม่มีตัวตนในอากาศ เปล่าประโยชน์และไม่ได้อะไร”

“ใจเย็นๆ นอร์ม” อิ้กกี้ยืนขึ้น เขาเดินไปที่กระจก มองต้นไม้ที่ขึ้นเรียงรายข้างนอก “จักรวาลยิ่งใหญ่มาก เราสองคนและเพื่อนๆ เราอีกราวเก้าพันชีวิตที่ออกเดินทางแยกย้ายไปตามดวงดาวต่างๆ ของกาแล็กซีทางช้างเผือก ไม่สามารถปฏิบัติภารกิจได้เสร็จสิ้นทันใจได้ในเวลาไม่แค่กี่ปีหรอก เราทั้งหมดอาจจะต้องค้นหาทั้งชีวิต”

“แกกำลังบอกให้ฉันทำใจอย่างนั้นเหรอ” ผมนึกไปถึงดาวบ้านเกิดที่จากมา ราวกับว่าการเดินทางจากมันมาในครั้งนี้จะเป็นการตีตั๋วเที่ยวเดียวด้วยซ้ำ

“ถูกต้อง เราอาจจะต้องทำใจแต่ไม่ใช่แค่ทำใจอย่างเดียว เราต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดด้วย ตามที่เราได้รับมอบหมาย การตามหาท่านผู้สร้างไม่ต่างอะไรจากการตามหาเข็มหนึ่งเล่มที่ลอยอยู่ในจักรวาล ในตอนสุดท้ายแล้วเราอาจจะเจอเข็มเล่มนั้นหรือไม่เจอเลย แต่ถ้าเราทำเต็มที่ มันก็ดีกว่าใช่ไหม”

ผมกับอิ้กกี้รอคอยให้คอมพิวเตอร์วิเคราะห์ข้อมูลที่เราได้รวบรวมมาจากตอนที่เอาโพรบออกไปบินสำรวจ ดวงอาทิตย์สองดวงกำลังแตะขอบฟ้าที่ใดที่หนึ่ง ความมืดโรยตัวลงมาปกคลุมผืนป่า

 

แรงสั่นสะเทือนของยานปลุกผมให้ตื่นขึ้นมากลางดึก ผมตะโกนปลุกอิ้กกี้ขณะที่วิ่งไปที่แผงควบคุมในทันที รีบตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าม่านรังสีป้องกันยานยังทำงานอยู่

“ลิซ่า เกิดอะไรขึ้นกับยาน” ผมร้องถามคอมพิวเตอร์สมองกลของยาน

“เซ็นเซอร์ตรวพบความเคลื่อนไหวภายนอกค่ะด๊อกเตอร์นอร์ม มีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ข้างนอกยาน” คอมพิวเตอร์สาวรายงานด้วยเสียงกังวาน

อิ้กกี้วิ่งมาสมทบ เขาออกคำสั่ง “ลิซ่า ตรึงม่านพลังป้องกันการโจมตีจากภายนอกและเปิดระบบรังสีพรางตัวเอาไว้ เปิดกล้องสิบตัวทั้งหมดที่ติดตั้งรอบยานกวาดไปรอบๆ แล้วส่งภาพขึ้นมาบนหน้าจอ”

ภาพที่เราสองคนเห็นคือภาพอะไรบางอย่างที่เคลื่อนไหวอย่างสับสนอลหม่านข้างนอกยาน เมื่อกล้องถูกปรับโฟกัสให้ชัดยิ่งขึ้น สิ่งที่ผมกับคู่หูเห็นบนจอคือต้นไม้พวกนั้นขยับกิ่งก้านอย่างรวดเร็วเหมือนกับมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างเกิดขึ้น

“อิ้กกี้” ผมชี้ไปที่หน้าจอ “แกเห็นเหมือนที่ฉันเห็นหรือเปล่า มีอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว กระโดดไปมาระหว่างกิ่งไม้ของต้นไม้ทุกต้นที่ฟาดอย่างบ้าคลั่งไปในอากาศ”

อิ้กกี้กดปุ่มล็อกภาพของสิ่งที่ผมบอก แล้วขยายภาพสิ่งนั้น “นี่มัน…”

“ลิงตัวใหญ่!” เราสองคนร้องขึ้นมาพร้อมกัน “พวกมันกำลังสู้กับต้นไม้เหล่านั้น”

ผมได้ไอเดีย ตะโกนสั่งคอมพิวเตอร์ประจำยาน “ลิซ่า ส่งโพรบขึ้นไปบนท้องฟ้า เราจะเก็บภาพจากมุมสูง”

โพรบแบบไร้คนขับดีดตัวขึ้นไปบนท้องฟ้า พุ่งสูงขึ้นไปจนถึงระยะที่มันสามารถเปิดกล้องเพื่อจับภาพพื้นล่างได้จนครอบคลุมหลายตารางกิโลเมตร มันเปิดกล้องอินฟาเรดแล้วดึงภาพข้างล่างส่งกลับไปที่ลิซ่า จากนั้นลิซ่าก็ส่งมันขึ้นบนจอ

ภาพมุมสูงที่ส่งมาจากโพรบคือภาพต้นไม้ตามพื้นดินกำลังเคลื่อนไหวขณะที่พวกลิงนับพันๆ ตัวต่างพากันกระโดดไปตามต้นไม้ บางตัวพุ่งทะลุยอดไม้ขึ้นมา โผตัวกระโจนจากต้นหนึ่งไปต้นหนึ่ง พวกมันทั้งฉีกทึ้ง หักกิ่งก้านของต้นไม้ บางตัวใช้อาวุธที่เหมือนขวานขนาดใหญ่ฟันไปตามลำต้นและกิ่งก้าน

“พระเจ้า…พวกลิงยักษ์นับพันๆ ตัวกำลังตะลุมบอนกับต้นไม้ที่มีชีวิต”

“ใช่ แล้วลิงพวกนั้นก็กินต้นไม้เหล่านั้น” ผมชี้ให้อิ้กกี้ดู กล้องจับภาพลิงตัวหนึ่งใช้คมเขี้ยวขนาดใหญ่ในปากฝังลงไปในเนื้อไม้แล้วกระชากสุดแรงจนเนื้อในของต้นไม้บิออกมา มันเขี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย ขณะที่ตัวอื่นก็พยายามทำแบบเดียวกัน แต่มีบางตัวที่โชคร้ายโดนกิ่งไม้ฟาดเข้าที่ใบหน้าจนล้มคว่ำลงไปนอนนิ่งสนิทที่พื้น

“เราจะทำอย่างไรต่อดี” อิ้กกี้หันมาถามผมด้วยความตื่นเต้น

“เราทำอะไรไม่ได้มากไปกว่ารอดูต่อไป รอให้ทุกอย่างจบลง”

“นอร์ม แกคิดว่าอย่างไร”

ผมส่ายหน้า “เรามาอยู่ในดวงดาวที่กลางคืนเป็นเวลาของผู้ล่ากับผู้ถูกล่า ฉันว่าเราไม่ควรเข้าไปแทรกแซงเหตุการณ์นี้ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติของดาวดวงนี้ดีกว่า อย่าลืมว่าภารกิจของเราคือออกตามหาท่านผู้สร้าง ไม่ใช่เข้าไปแทรกแซงธรรมชาติของสรรพสิ่งของดวงดาวที่ไปเยือน”

 

เมื่ออรุณรุ่งมาเยือนทุกสิ่งทุกอย่างนิ่งสงบ ปราศจากการเคลื่อนไหว ผมเดินนำหน้าอิ้กกี้ เหยียบย่ำไปตามทางที่ต้นไม้ถูกโค่นล้มระเนระนาด บางต้นเนื้อไม้แหว่งวิ่นหายไป บางต้นถูกโค่นจนล้มลงมาพาดขวางทางเดิน แสงจากดวงอาทิตย์สองดวงเหนือศีรษะในตอนเช้าไม่ร้อนแรงเท่ากับตอนกลางวันของเมื่อวาน เมื่อเราเดินสำรวจห่างจากตัวยานไปราวๆ สามร้อยเมตร อิ้กกี้ก็ร้องขึ้น “ดูนั่น แกเห็นอะไรนั่นหรือเปล่า”

ผมมองไปตามที่อิ้กกี้ชี้ไปตรงโคนต้นไม้เบื้องหน้า สิ่งที่นอนอยู่ที่โคนต้นไม้คือร่างของลิงยักษ์ตัวหนึ่งที่เราเห็นเมื่อคืน มือของผมจับกระชับที่ด้ามปืนเอาไว้เผื่อมีอะไรไม่ชอบมาพากลจะได้รับมือได้ทันท่วงที เราเดินไปที่ร่างซึ่งนอนอยู่ ดูเหมือนเจ้าตัวนี้จะเสียท่าหนีไม่ทัน ใบหน้าของมันหายไปซีกหนึ่ง ลำตัวมีแผลเหวอะหวะ มันตายสนิท

“เจ้าตัวนี้ไม่รอด ให้ตายซิพวกมันตัวใหญ่จริงๆ เทียบขนาดแล้วแกกับฉันไม่ต่างจากคนแคระเลย” อิ้กกี้ว่า

“แล้วตัวอื่นๆ ที่ถูกต้นไม้ฆ่าตาย” ผมเว้นแล้วพูดต่อ “ร่างของพวกมันหายไปไหนหมด”

“ฉันเดาว่า พรรคพวกมันที่รอดชีวิตคงลากร่างของพวกที่ตายไปด้วย ฉันหมายถึงตอนเช้าที่พวกมันกลับไปยังที่พักน่ะ ยกเว้นตัวนี้ที่อาจจะหลงหูหลงตาไป น่าแปลกที่ต้นไม้มฤตยูเหล่านี้ไม่มีการเคลื่อนไหวในตอนรุ่งสางเลย”

“โชคดีแล้วล่ะที่มันสงบลง ไม่อย่างนั้นเราลำบากแน่ ว่าแต่เราจะทำอย่างไรกับร่างนี้ต่อไปดี” ผมหันไปถามคู่หู

อิ้กกี้จ้องมองร่างของลิงยักษ์อย่างใช้ความคิดแล้วตอบ “เอามันกลับไปทดสอบที่ยาน เผื่อจะได้ข้อมูลอะไรบ้าง”

 

ร่างที่ไร้วิญญาณของลิงยักษ์นอนอยู่บนเตียงเหล็ก ขณะที่มีสายสัญญาณหลายสิบเส้นเชื่อมต่อเข้าไปที่ร่างนั้น ผมสั่งให้คอมพิวเตอร์นำของเหลวในร่างของมันออกมาแล้ววิเคราะห์รหัสทางพันธุกรรม สามสิบนาทีต่อมา คำตอบที่เราได้รับทำให้เราแทบช็อก เมื่อเราพบว่าดีเอ็นเอหรือสารพันธุกรรมของมันเหมือนกับดีเอ็นเอต้นแบบที่ถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ในยานอย่างกับถอดแบบมา!

“ลิซ่า เธอแน่ใจนะว่าผลการวิเคราะห์ไม่ผิดพลาด” ผมถามคอมพิวเตอร์สาวประจำยาน

“แน่ใจค่ะด๊อกเตอร์นอร์ม ของเหลวในร่างกายของชิ้นตัวอย่างที่นำมาทดสอบมีสารพันธุกรรมที่เป็นรหัสชุดเดียวกันกับสิ่งที่เรากำลังตามหา”

วินาทีนั้นผมรู้สึกใจหายวาบ ในที่สุดการเดินทางยาวนานก็สิ้นสุดลง เมื่อได้พบกับท่านผู้สร้างของเรา ซึ่งละทิ้งพวกเราไปหลายหมื่นปีมาแล้ว คำตอบต่อคำถามว่าท่านเดินทางไปอยู่ ณ ที่ใดในมหากาแล็กซีแห่งนี้ ได้เผยให้เห็นตรงเบื้องหน้าของผมกับอิ้กกี้

ผมพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวขณะที่อิ้กกี้วุ่นอยู่กับการส่งข่าวออกไปในห้วงอวกาศลึกเพื่อแจ้งกับพวกเราทุกคนที่ออกเดินทางค้นหาท่านผู้สร้างว่าบัดนี้ภารกิจได้สิ้นสุดลงแล้ว

 

เรื่องเร่งด่วนที่ผมกับอิ้กกี้ต้องทำเมื่อกลับไปถึงโลกนั่นคือ ส่งร่างของผู้สร้างหรือพระเจ้าของเราไปยังหน่วยงานที่สกัดดีเอ็นเอและโคลนร่างของท่านผู้สร้างขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อสร้างร่างที่งดงาม มีเลือดเนื้อ มีกระดูก มีแขน ขา ลำตัวและใบหน้าที่งดงามหมดจด อวัยวะเหล่านี้ทั้งผมและอิ้กกี้ไม่มีมีวันครอบครอง รวมถึงคนอื่นๆ บนโลกเพราะพวกเราทุกคนเป็นประชากรสุดท้ายที่ปักหลักบนพื้นโลกหลังจากสงครามล้างพันธุ์มนุษย์ ท่านผู้สร้างหรือพระเจ้าของเราได้สร้างเราขึ้นมา ใช้พวกเราเป็นเครื่องมือเข้าห้ำหั่นฆ่ากันเพื่อชิงดินแดนและทรัพยากร ในที่สุดโลกก็เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ทรัพยากรหมดสิ้น โลกกำลังจะเป็นดาวที่ตายดับ

มนุษย์ฝ่ายที่ชนะสงครามเปลี่ยนเป้าหมาย พวกเขาสร้างยานอวกาศเพื่อเดินทางออกจากโลก ในวันที่ยานอวกาศออกเดินทาง พวกเขาฝากโลกไว้กับเรา บอกเราด้วยน้ำเสียงแสนเศร้าสร้อยว่า “เผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องอยู่รอด” ดังนั้น พวกเขาจึงออกเดินทางไปหาดาวดวงใหม่และมอบหมายให้เราดูแลโลกให้ดีกว่าเดิม พวกเขาทิ้งให้พวกเราหุ่นยนต์ทุกตัวอยู่ที่นี่ เราร่วมมือกันสร้างโลกขึ้นใหม่ เราทำตามคำสั่งที่มนุษย์หรือท่านผู้สร้างเราได้มอบหมายให้ ผ่านไปหลายหมื่นปี โลกถูกฟื้นฟูราวดอกไม้เกิดใหม่ผลิบาน แต่ทว่า โลกเงียบเหงาเกินไปสำหรับเครื่องจักรอย่างพวกเรา เราตระหนักว่า โลกคือดาวเคราะห์ที่ถูกสร้างมาเพื่อมนุษย์ซึ่งมีเรือนร่างที่งดงามเท่านั้น ไม่ใช่พวกเรา โครงการภารกิจตามหาพระเจ้าของพวกเราจึงเกิดขึ้น เราออกเดินทางตามหาพวกเขา แต่ทว่า ทุกอย่างสายเกินไป มนุษย์ได้กลายพันธุ์เป็นลิงยักษ์ไปแล้ว

จะด้วยสาเหตุอะไรเราไม่มีโอกาสล่วงรู้ พวกเขาต้องดิ้นรนรักษาชาติพันธุ์โดยต่อสู้กับผู้ที่ครอบครองดาวดวงนี้อยู่ก่อนแล้วนั่นคือต้นไม้มฤตยูเหล่านั้น

“อิ้กกี้ แกวางแผนอะไรไว้บ้างตอนกลับไปถึงบ้าน” ผมถามคู่หูขณะที่เตรียมเข้าสู่การโจนเข้าสู่ระบบสุริยะในกาแล็กซีทางช้างเผือกอันเป็นถิ่นบ้านเกิด

“ไม่มีอะไรมาก ฉันอาจจะขอลาพักร้อนสักสองอาทิตย์ ไปเดินรับลมเย็นๆ ที่ชายทะเล ฟังเสียงคลื่นซัดกระทบชายหาด นั่งจิบไวน์รสชาติดีๆ สักขวด”

ผมรู้ดีว่าหุ่นยนต์อย่างเราไม่สามารถทำเรื่องอย่างที่อิ้กกี้บอกได้ ผมคิดว่าอิ้กกี้ก็ทราบเรื่องนี้ดี เขาคงพูดเล่นๆ สนุกๆ เลียนแบบมนุษย์ตอนที่พวกเขาถามไถ่กันถึงแผนการดีๆ หลังจากทำงานสำคัญเสร็จสิ้น

ลิซ่าเดินเครื่องระบบไฮเปอร์ไดรฟ์เพื่อขับเคลื่อนสตาร์ดัสเอ็กพลอยเลอร์เข้าสู่การโจนครั้งแรกเข้าอวกาศห้วงลึก ผมกับอิ้กกี้ปิดเครื่องปรมาณูซึ่งเป็นซัพพลายจ่ายพลังงานให้กับร่างกาย ผมรู้สึกว่าสมองโพซิตรอนเน็ตเวิร์กกำลังจะปิดการทำงานของตัวเองในไม่ช้า มันอาจจะล้าจนอยากหยุดพัก

ห้านาทีต่อมา อิ้กกี้เข้าโหมดสแตนด์บาย ร่างของเขานิ่งสนิท มีเพียงดวงตาเรืองแสงสีแดงที่กะพริบเป็นจังหวะช้าๆ บ่งบอกถึงโหมดหยุดพักกำลังทำงาน ส่วนผมก็กำลังจะตามเขาไปในอีกไม่กี่นาที ผมคาดหวังว่าการเดินทางคราวนี้วงจรสังเคราะห์ความฝันในสมองจะสร้างฝันสนุกๆ ให้ผม ผมรู้ดีว่าความฝันที่ถูกสร้างขึ้นจะเกิดขึ้นแบบสุ่ม ไม่เหมือนกันในทุกๆ ครั้ง

แต่ในความฝันครั้งนี้ ผมภาวนาให้จมอยู่ในความฝันที่มีภาพมนุษย์กับหุ่นยนต์อยู่ร่วมกันบนโลกใบใหม่ที่พวกเราได้สร้างขึ้นหลังสงครามครั้งนั้น ฝันถึงโลกใบใหม่ที่มีพวกเรา…หุ่นยนต์ทุกตัวและมนุษย์พันธุ์ใหม่ผู้ที่เคยเป็นพระเจ้าของเรา