ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 - 21 มีนาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
มีคนถามว่า ถ้าไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งจะผิดไหม
ตอบว่า ไม่ผิด เพียงแต่จะเสียสิทธิบางประการไปเท่านั้น เช่น สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เป็นต้น
การไปเลือกตั้งจึงเป็นสิทธิและหน้าที่ของประชาชนที่มีสิทธิ โดยเฉพาะหน้าที่ในการใช้สิทธิที่มี คือสิทธิเลือกตั้ง
มีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
แต่ขณะเดียวกันเราก็มีเสรีภาพในการเลือกด้วย คือเสรีภาพที่จะเลือกหรือไม่เลือกใครก็ได้ รวมถึงเสรีภาพที่จะไม่เลือกใครเลยก็ยังได้ ดังเรียก โหวตโน (VOTE NO) นั่น
สิทธิหน้าที่และเสรีภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญของกระบวนการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย
สิทธิหน้าที่และเสรีภาพของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งนี้เป็นอำนาจหนึ่งในการมี “ส่วนร่วม” ของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย
เป็นส่วนหนึ่งของ “อธิปไตย” คืออำนาจของประชาชนตามที่มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ดังหมวด 4 หน้าที่ของปวงชนชาวไทย “มาตรา 50” บุคคลมีหน้าที่ดังต่อไปนี้
“(7) ไปใช้สิทธิเลือกตั้งหรือลงประชามติอย่างอิสระโดยคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมของประเทศเป็นสำคัญ”
การเลือกตั้งเป็นการเลือกตัวแทนหรือผู้ทำการแทนเจตนารมณ์ของเราเข้าไปทำหน้าที่ในสภาเพื่อ “ประโยชน์ส่วนรวมของประเทศเป็นสำคัญ” นั่นเอง
การใช้หน้าที่นี้จึงเป็น “อำนาจ” หรือ “อธิปไตย” ที่สำคัญของปวงชนในระบอบประชาธิปไตยประการหนึ่ง ซึ่งยังมีอีกหลายประการนัก ดังบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญอันว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพ และหน้าที่ของปวงชนชาวไทย
อธิปไตย แปลว่า อำนาจ “ประชาธิปไตย” จึงแปลว่า อำนาจของประชาชน เพระคำ “ประชา” คือประชาชน
จำเพาะคำอธิปไตยที่แปลว่าอำนาจนี้มีความหมายที่กินความกว้างขวาง ที่สำคัญคือ ชอบธรรมกับไม่ชอบธรรม
หมายถึงอำนาจอันชอบธรรมกับอำนาจอันไม่ชอบธรรม
การเลือกตั้งเป็นการใช้อำนาจของประชาชน อันถือว่าประชาชนมีส่วนร่วมในการใช้อำนาจชอบธรรมนี้ผ่านกระบวนการอันชอบธรรมตามกฎหมาย
เพราะฉะนั้น การใช้สิทธิเลือกตั้งตามหน้าที่และเสรีภาพดังกล่าวของประชาชนจักต้องเป็นไปโดยชอบธรรมด้วย อย่างน้อยๆ ความชอบธรรม ขั้นต้นก็ดังข้อความที่กำหนดในมาตรา 50(7) คือ “…อย่างอิสระโดยคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมของประเทศเป็นสำคัญ”
ผิดจากนี้ต้องถือเป็นการใช้อำนาจ (ในการมีส่วนร่วม) อย่างไม่ชอบธรรม
ดังเคยกล่าวไว้ว่า “ประชาธิปไตยคืออำนาจอันชอบธรรมของประชาชนในการบริหารจัดการเรื่องที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวมเป็นหลักและเป็นใหญ่”
อำนาจในที่นี้ล้วนเป็นของประชาชนตามรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น อันจำแนกเป็นสามขั้นตอนคือ
ประชาชนมีส่วนร่วมโดยชอบธรรมในการใช้อำนาจเลือกตั้งตัวแทนอันชอบธรรม
ผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ได้รับมอบอำนาจอันชอบธรรมจากประชาชน
ผู้ได้รับมอบอำนาจนั้นต้องใช้อำนาจโดยชอบธรรม
สรุปคือ
ประชาชนมีส่วนร่วมใช้อำนาจอย่างชอบธรรม
ผู้รับมอบอำนาจได้อำนาจมาอย่างชอบธรรม
ผู้มีอำนาจใช้อำนาจอย่างชอบธรรม
สามอย่างนี้เป็นความหมายโดยรวมของคำว่า “ประชาธิปไตย คืออำนาจอันชอบธรรมของประชาชน”
ส่วนอำนาจอันชอบธรรมของประชาชนนี้เพื่ออะไรก็ขยายความดังกล่าวคือ
เพื่อบริหารจัดการเรื่องที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวมเป็นหลักและเป็นใหญ่
อำนาจสามขั้นตอนดังกล่าวคือ การมีส่วนร่วม การได้อำนาจ การใช้อำนาจ ต้องชอบธรรมทั้งสามขั้นตอนจึงเป็นเสมือนบรรทัดวัดมาตรฐานประชาธิปไตย
ตัวอย่างความอ่อนแอของอำนาจทางการเมืองระบอบประชาธิปไตยในบ้านเรานั้น ก็คือความไม่ชอบธรรม ทั้งสามขั้นตอนนี้เอง
หนึ่ง การซื้อสิทธิขายเสียงด้วยรูปแบบและกระบวนการอันแนบเนียนและสลับซับซ้อน เช่น การสร้างมายาภาพด้วยสื่อยุคใหม่ ทำให้ประชาชนหลงไปกับเจตจำนงลวงส่วนตน
สอง ผู้ได้รับเลือกตั้ง ถือว่าได้อำนาจมาอย่างชอบธรรม โดยไม่นำพากับกลวิธีใดก็ตามที่ทำให้ตนได้ชัยมาแล้วเท่านั้น
สาม รัฐบาลมักถือเอาอำนาจที่ตนได้มานี้อ้างเอากับการใช้อำนาจโดยไม่ชอบธรรม โดยไม่ฟังเสียงค้าน กับคำที่มักอ้างกันเป็นประจำคือ “ประชาชนให้อำนาจมา” แล้ว โดยหาคำนึงไม่ว่า
การได้อำนาจกับการใช้อำนาจนั้นเป็นคนละขั้นตอนกัน
แม้จะได้อำนาจมาโดยชอบธรรม ก็มิได้หมายความว่าจะมีอำนาจด้วยการนำมาใช้ในเรื่องไม่เป็นธรรมได้
ดังปรากฏการณ์ความขัดแย้งระหว่างภาครัฐกับประชาชน และกลุ่มชนกับกลุ่มชน หลากหลายสีสันดังที่ผ่านมานั้น
ความวุ่นวายทั้งหลายในบ้านเมืองเรา แม้จนวันนี้ลืมสาวยาวโยงลงไปล้วนมาจากรากเหง้าเค้าเงื่อนของความไม่ชอบธรรมจากสามอำนาจนี้ทั้งสิ้นคือ
ประชาชนไม่มีส่วนร่วมอย่างชอบธรรม
ผู้ได้อำนาจมักได้อำนาจมาโดยไม่ชอบธรรม
ผู้มีอำนาจใช้อำนาจไม่เป็นธรรม
สามอย่างนี้ล้วนเป็นแก่น เป็นสาระสำคัญ เป็นหัวใจของระบอบประชาธิปไตย นี้เองตามความหมายที่พึงตอกย้ำจำหลักให้มั่นคือ
ประชาธิปไตย คืออำนาจอันชอบธรรมของประชาชนในการบริหารจัดการเรื่องที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวมเป็นหลักและเป็นใหญ่
ผิดจากนี้ย่อมไม่ใช่ประชาธิปไตย
ไม่ใช่ประชาธิปไตย ดังที่กำลังฉกฉวยและฉกชิงวิ่งราวเอากับวาทกรรมประชาธิปไตยกับเผด็จการในเวทีหาเสียงเลือกตั้งและหลังวันเลือกตั้งในสัปดาห์หน้านี้
ขอสาธุชนทั้งตั้งสติภาวนาดังนี้เถิด
ลืมตาอย่าลืมตัว