ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 - 21 มีนาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | เปลี่ยนผ่าน |
ผู้เขียน | บุญญฤทธิ์ บัวขำ |
เผยแพร่ |
แม้รายการ “เดอะ วอยซ์ ไทยแลนด์” ซีซั่น 7 จะปิดฉากลงด้วยชัยชนะของ “เล็ก – พงษธร กำบัง” หนุ่มชาวประมงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ลูกทีมของโค้ชโจอี้ บอย ซึ่งคว้าแชมป์ประจำปี 2018 เหนือคู่ท้าชิงอย่าง “นิสนึง – อรรัศมิ์ดา โรจนเตชสิริ” ลูกทีมของโค้ชก้อง สหรัถ ด้วยคะแนนโหวตถล่มทลาย 86% ต่อ 14%
ทว่ายังมีผู้เข้าแข่งขันที่น่าสนใจอีกหนึ่งคู่ ซึ่งแม้พวกเขาจะพ่ายแพ้ไปตั้งแต่รอบตัดเชือก แต่กลับกลายเป็นหนึ่งในผู้เข้าประกวดที่คนดูจดจำได้มากที่สุดในซีซั่นนี้ (อ้างอิงจากยอดคลิกเข้าชมการแสดงในยูทูบทุกคลิป)
นั่นก็คือ “ไปป์ – ศุภเมธ เพชรอุดม” และ “แดนนี่ – บูมา เดอร์ริก” คู่หูดูโอ้ต่างสัญชาติ ที่มีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แม้คนหนึ่งสุขุม อีกคนสนุกสนาน แต่เคมีของทั้งคู่ก็ผสมผสานเข้ากันได้ลงตัว พวกเขาเปิดตัวอย่างน่าสนใจด้วยเพลง “ห่อหมกฮวกไปฝากป้า” ของลำเพลิน วงศกร Feat. เต๊ะ ตระกูลตอ จนทำให้เพลงนี้กลับมาอยู่ในกระแสนิยมอีกครั้ง แถมยังขึ้นเทรนด์อันดับ 1 ในยูทูบ
ก่อนจะสานต่อความเฮฮาสนุกสนานด้วยเพลง “บักแตงโม” ของวงฮันแนว ซึ่งก็กลับมาโด่งดังชนิดร้องกันทั่วบ้านทั่วเมืองอีกรอบ
ไปป์ชื่นชอบดนตรีมาตั้งแต่เด็กและเรียนจบทางด้านนี้โดยตรง แต่ไม่ได้เชี่ยวชาญด้านการร้องมากนัก
ส่วนแดนนี่โตมากับความชื่นชอบในการศึกษาวัฒนธรรมที่แตกต่างหลากหลาย และไม่เคยสนใจการร้องเพลงเลย แม้ว่าแม่ของเขาจะเป็นผู้ร้องเพลงนำในโบสถ์ที่ประเทศแคเมอรูน บ้านเกิดก็ตาม
จนกระทั่งแดนนี่ย้ายมาอยู่ประเทศไทย ทั้งคู่จึงได้พบเจอกันที่โรงเรียนเทพศาลาประชาสรรค์ จ.นครสวรรค์ ในฐานะคุณครู
เพื่อนสองคนต่างเชื้อชาติได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เมื่อครูแดนนี่ผู้สอนวิชาภาษาอังกฤษ ต้องการเรียนกีตาร์ ส่วนครูไปป์ผู้สอนวิชาดนตรี ต้องการเรียนภาษาอังกฤษ
“เมื่อก่อนผมไม่ค่อยร้องเพลงเลยครับ มาอยู่ประเทศไทย รู้สึกว่าเอ๊ะ! เราชอบดนตรีมากขึ้น เราก็ร้องเพลงตามคาราโอเกะ มันไม่พอ ต้องเอาอะไรมาเพิ่ม ผมก็สนใจเรื่องกีตาร์ แต่ตอนนั้นโรงเรียนยังไม่มีครูดนตรีครับ รอครูดนตรีใหม่คือครูไปป์ แล้วผมก็รีบไปจองตัวก่อน เพราะว่าเขาเพิ่งมาและผมว่าเขาเก่งด้านดนตรี ผมเลยจะให้เขาสอนหน่อย” แดนนี่ย้อนเล่า
“เขาก็มาหาผมที่ห้อง เขาอยากเล่นกีตาร์เป็น ให้ผมสอนให้ ผมก็ไม่ค่อยเก่งเรื่องภาษาอังกฤษ อะงั้นแลกกัน ไอสอนกีตาร์ยู ยูสอนภาษาอังกฤษไอ แต่พอสอนให้เล่นกีตาร์ก็เล่นไม่ได้ เขาเลยไปร้องเพลงอย่างเดียว” ไปป์เล่าบ้าง
การเข้าประกวดรายการเดอะ วอยซ์ ถือเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของทั้งคู่
เดิมทีไปป์เคยยอมรับแล้วว่าชีวิตตัวเองได้หลุดออกจากเส้นทางที่จะก้าวข้ามมาเป็นศิลปิน และคงต้องทำงานเป็นครูไปจนถึงวาระเกษียณอายุราชการ
ส่วนแดนนี่ก็คงเดินทางศึกษาวัฒนธรรมของประเทศต่างๆ ที่ตัวเองสนใจไปเรื่อยๆ
แนวคิดการสมัครเข้าประกวดเริ่มต้นจากแดนนี่อยากส่งคลิปเข้าไปออดิชั่น จึงตัดสินใจขอคำปรึกษาจากไปป์ นอกจากนั้น แดนนี่ได้ชักชวนให้ไปป์ทำคลิปส่งไปด้วยเช่นกัน
ก่อนที่ทั้งสองคนจะเห็นตรงกันว่าพวกตนควรส่งคลิปออดิชั่นในฐานะผู้เข้าแข่งขัน “แบบคู่” น่าจะดีกว่า
แดนนี่หลงรักเพลงอีสานตั้งแต่ได้ยินครั้งแรก ส่วนไปป์สามารถนำดนตรีสากล-พื้นบ้านมาประยุกต์ใช้ได้อย่างหลากหลาย เพลงที่ออกมาจึงกลายเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้ผู้ชมหลงรักพวกเขา โดยเฉพาะการนำท่อนแร็พเข้ามาผสมในทุกๆ บทเพลง
“เขามาด้วยตนเอง เวลาผมเล่นกีตาร์ที่เป็นท่อนโซโล่หรือโซโล่ดนตรีอื่น เขาก็จะแร็พสวนมา แร็พเป็นภาษาอังกฤษ ผมไม่รู้แปลว่าอะไร แต่ผมว่ามันเท่ดี” ไปป์กล่าว
“ไม่รู้บางทีมาเอง เราฟังจังหวะดนตรี เราก็ชอบ เราก็คิดว่า เอ๊ะ! ถ้าใส่แร็พจะเท่นะ บางทีเขาก็โซโล่อยู่ ผมก็แร็พแทรกมาเลย บางทีผมก็แร็พไทยมั่วๆ” แดนนี่เผย
แดนนี่บอกว่า เดิมทีไม่เคยคิดว่าตัวเองร้องเพลงได้ด้วยซ้ำ เพราะไม่เคยหัดร้องเพลงเลยตั้งแต่เกิดมา แต่สิ่งที่ทำให้ร้องออกมาได้อย่างทุกวันนี้ เกิดจากการเรียนรู้ด้วยตนเอง
ครูสอนภาษาอังกฤษชาวแคเมอรูนใช้เวลาเรียนร้องเพลงไม่ถึง 3 ปี จากเหล่ายูทูบเบอร์ที่ลงคลิปสอนร้องเพลง ขณะที่ไปป์ก็ยอมรับว่าตัวเองไม่ใช่คนร้องเพลงเก่งมากพอที่จะสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้
“มันเหมือนเติมเต็มมากกว่า ให้การโชว์มีสีสันมากขึ้น ถ้ามันเป็นแคแร็กเตอร์ที่นิ่งๆ หรือเสียงผมที่มันนุ่มๆ มาคนเดียวแบบนี้ มันก็ดูเรื่อยๆ แต่พอมันมีความสนุกเข้ามา แล้วมันดูมีสีสันมากขึ้น ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ผมคิดว่าการที่อยู่กับดนตรีไม่ว่าจะทางไหน ผมแฮปปี้หมด” ไปป์พูดถึงจุดยืนของตนเอง
แม้ว่าในปัจจุบัน แดนนี่กับไปป์จะเริ่มมีชื่อเสียง มีงานรับจ้างร้องเพลงบ้างแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาไม่คิดทอดทิ้ง นั่นก็คืออาชีพ “ครู”
ศิลปินทั้งคู่ยังคงเป็นคุณครูที่น่ารักของเด็กๆ ในโรงเรียนเทพศาลาประชาสรรค์เหมือนที่เคยเป็น
ทั้งสองคนบอกว่าแม้ตอนนี้ต้องทำสองงานควบคู่กันไป แต่จะขอยึดอาชีพครูเป็นหลัก
“ก็สนุกขึ้น มีงานเยอะขึ้น ได้เจอคน ได้เจอประสบการณ์ ได้เจออะไรใหม่ๆ เจองานเยอะก็รับได้ไม่หมด เพราะสุขภาพก็สำคัญ ช่วงหลังก็เริ่มป่วยบ่อย ถ้าติดต่องานวันธรรมดา ไม่ค่อยได้รับ ปฏิเสธไป เลยรับแค่วันศุกร์และเสาร์” ไปป์กล่าว
ส่วนทางด้านแดนนี่ เขาอาศัยอยู่ในประเทศไทยมา 3 ปีแล้ว จากแค่มาท่องเที่ยวศึกษาวัฒนธรรมหลังเรียนจบ จนตอนนี้หนุ่มแคเมอรูนตั้งใจปักหลักอยู่ที่นี่แบบไม่มีกำหนดกลับ
เขาบอกว่าประเทศไทยมีวัฒนธรรมที่สวยงาม และคิดว่าตัวเองยังคงจะเป็นครูอยู่ที่นี่ต่อไปเรื่อยๆ สำหรับเรื่องการร้องเพลงแม้ว่าจะเกิดขึ้นจากความบังเอิญ แต่กิจกรรมประเภทนี้ก็ทำให้สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยได้ดีและรวดเร็วยิ่งขึ้น
ซึ่งสิ่งดีๆ ที่ทำทั้งหมด เขาจะเก็บเป็นเรื่องราวไว้ให้ลูกๆ ตัวเองได้ดูในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ศักยภาพของ “แดนนี่ & ไปป์” ที่ทุกคนเห็นในเดอะ วอยซ์ ไทยแลนด์ 2018 เป็นเพียงส่วนเสี้ยวเล็กๆ ซึ่งพวกเขานำเสนอออกไป
แต่เร็วๆ นี้ เราอาจจะได้รับชม รับฟัง และสัมผัสตัวตนแท้จริงของศิลปินคู่หูไทย-แคเมอรูน ผ่านบทเพลงของพวกเขาเอง
“แดนนี่ยังไม่หมด บอกไว้ก่อน ยังมีของอยู่เยอะมาก ผมจะทำให้คนไทยกลับมาอึ้งอีกครั้ง” แดนนี่ทิ้งท้าย