ทำไม? นโยบายเศรษฐกิจรัฐบาล(ใหม่) ในมือ ‘รุ่นเก๋า-นิวเจน’ ไม่พ้น ‘ลด-แจก’ วังวนประชานิยม

เศรษฐกิจ

 

นโยบายเศรษฐกิจรัฐบาลใหม่

ในมือ ‘รุ่นเก๋า-นิวเจน’

ไม่พ้น ‘ลด-แจก’ วังวนประชานิยม

 

โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง พรรคการเมืองต่างปล่อยหมัดเด็ดนโยบายด้านเศรษฐกิจ ลด แลก แจก แข่งกันจนหยดสุดท้าย

ถ้านำนโยบายของพรรคที่คาดว่าจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลมากางดูจะพบว่ามีหลายนโยบาย คาดว่าจะถูกบรรจุเป็นนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่

ตั้งแต่ทุกพรรคต่างให้ความสำคัญกับปรับค่าแรงขั้นต่ำ เช่น พลังประชารัฐ 400-425 บาทต่อวัน พรรคประชาธิปัตย์ประกันรายได้ขั้นต่ำ 1.2 แสนบาทต่อปี ถ้าทำงานครบ 25 วัน คิดเป็นเงิน 400 บาทต่อวัน พรรคเพื่อไทย 400 บาทต่อวัน ขณะนี้ค่าแรงขั้นต่ำสูงสุดของไทยอยู่ที่ 330 บาทต่อวัน

แม้เอกชนค้านหัวชนฝาเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ ทั้งนักวิชาการ และข้าราชการระดับสูง มองว่าเป็นแค่ราคาคุย แค่นโยบายขายฝันของพรรคการเมืองที่ต้องการดึงคะแนนเสียงในโค้งสุดท้าย เพราะการขึ้นค่าแรงสูงขนาดนั้นจะกระทบต่อผู้ประกอบการและกระทบต่อเศรษฐกิจ เกิดปัญหาเงินเฟ้อ ข้าวของราคาแพงขึ้น

อีกนโยบายคือการดูแลสินค้าเกษตร ทุกพรรคมุ่งขายฝันดันราคาพืชหลัก เช่น ข้าว ยาง โดยพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย ประกาศทำราคาข้าวหอมมะลิ 15,000 บาทต่อตัน ข้าวขาว 10,000 บาทต่อตัน ส่วนพรรคพลังประชารัฐให้สูงกว่า ข้าวเจ้า 12,000 บาท ข้าวหอมมะลิ 18,000 บาท เมื่อราคาข้าวหอมมะลิปีก่อนก็ตันละ 15,000 บาท ส่วนข้าวขาว 7-8 พันบาทต่อตัน ยางพาราทุกพรรคประกาศดันราคาอยู่ที่ 60-65 บาทต่อกิโลกรัม จากขณะนี้ยางนิ่งๆ 50 บาทต่อกิโลกรัม

ไม่ว่าพรรคไหนได้นั่งเป็นรัฐบาลใหม่ๆ อย่างไรก็ไม่พ้นดันราคาสินค้าเกษตรแน่นอน เพราะเกษตรกรไทยจำนวนสูงถึง 30 ล้านคนเป็นฐานเสียงใหญ่ และที่ผ่านมาทุกรัฐบาลใช้งบฯ ดูแลเกษตรกรปีละกว่า 1-2 แสนล้านบาท และบางรัฐบาลอาจมากกว่านี้

 

อีกนโยบายรัฐบาลใหม่ต้องเดินหน้า คือ เบี้ยยังชีพคนชราและการช่วยเหลือคนจน ที่รัฐบาลปัจจุบันอนุมัติไว้ให้เบี้ยยังชีพคนชรา 600-1,000 บาทต่อเดือน และแจกเพิ่มสำหรับคนชราที่ถือบัตรสวัสดิการคนละ 50 และ 100 บาทต่อเดือน โดยพรรคประชาธิปัตย์ประกาศเพิ่มเป็น 1,000 บาทต่อเดือน พรรคพลังประชารัฐใช้คำว่าบำนาญ 1,000 บาทต่อคน พรรคเพื่อไทยให้เป็นบำนาญ 3,000 บาทต่อเดือน

ส่วนสวัสดิการคนจนที่ให้เป็นวงเงินซื้อของร้านธงฟ้า 200 บาทต่อเดือน และ 300 บาทต่อเดือน ให้วงเงินขึ้นรถเมล์ รถไฟ รถ ขสมก. อีกอย่างละ 500 บาทต่อเดือน รวมถึงแจกเงินให้เป็นบางครั้ง เช่น ช่วงปีใหม่ 500 บาทต่อคน ให้เงินคนชราเป็นค่าเดินทางไปหาหมอ 1,000 บาทต่อคน เชื่อว่ายังซื้อใจประชาชนได้อยู่!!

ดังนั้น ไม่แปลกที่กระทรวงการคลังเตรียมเสนอรัฐบาลใหม่ลงทะเบียนคนจนรอบใหม่เพราะของเก่าใช้มานานกว่า 2 ปี คงต้องติดตามว่าเงินที่ใช้ดูแลสวัสดิการคนจนปีละ 1 แสนล้านบาทที่รัฐบาลชุดนี้ใช้ไปนั้น จะเพิ่มหรือลดลง และคนจน 14.5 ล้านคน

ถ้าลงทะเบียนใหม่จะมีแนวทางสกัดคนไม่จนจริงแค่ไหน เพราะจากการแจกจองรัฐบาล คสช.น่าจะทำให้คนแห่มาลงทะเบียนอีกมาก

สําหรับนโยบายด้านภาษี หลายพรรคเกทับบลั๊ฟฟ์แหลก ลดภาษีให้กลุ่มมนุษย์เงินเดือน โดยพลังประชารัฐประกาศลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 10% ในทุกขั้นบันได จากขณะนี้กำหนดอัตราภาษีสูงสุดไว้ 35% ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ให้ความสำคัญกับกลุ่มคนรายได้ปานกลาง จะปรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาลง 20% จากอัตราเดิม เช่น เคยเสียภาษี 20% ลดเหลือ 16% แต่จะไม่ลดในขั้นบนสุด 35% เพราะถือว่ารวยแล้ว

ดังนั้น หาก 2 พรรคนี้จัดตั้งรัฐบาลและเดินหน้าเรื่องภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา อาจกระทบต่อการจัดเก็บภาษีเงินได้ปีละกว่า 3 แสนล้านบาท

ส่วนในเรื่องจีดีพี พรรคประชาธิปัตย์ประกาศทำให้จีดีพีโต 5% ถือว่าสูงมากจากที่ผ่านมาโตเฉลี่ย 3-4% โดยประกาศเพิ่มมูลค่าจีพีพี 25% ส่วนพรรคพลังประชารัฐไม่พูดถึงตัวเลขจีพีพี แต่ประกาศเพิ่มรายได้ประเทศเป็น 19 ล้านล้านบาท จากขณะนี้อยู่ที่ 16.31 ล้านล้านบาท

ถือเป็นเรื่องดีมีพรรคการเมืองให้ความสำคัญกับตัวเลขจีดีพี เพราะที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่าศักยภาพ 4% มานานหลายสิบปี

 

ส่วนโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน รถไฟสีต่างๆ ใน กทม. การลงทุนรถไฟความเร็วสูง ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (อีอีซี) คาดว่าจะเดินหน้าต่อแต่อาจจะมีการปรับรายละเอียดบางอย่างเพื่อไม่ให้ซ้ำกับรัฐบาลชุดก่อน

และอีกนโยบายแม้ไม่เกี่ยวข้องเศรษฐกิจโดยตรงแต่มีความสำคัญต่อการเพิ่มประชากรของไทย เป็นพื้นฐานการสร้างอนาคตประเทศ คนในแวดวงเศรษฐกิจชูมือสนับสนุน คือ มารดาประชารัฐของพรรคพลังประชารัฐ เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดของพรรคประชาธิปัตย์ พรรคอนาคตใหม่ดูแลเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 6 ปี ถือเป็นการลงทุนรองรับการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย

นอกจากนี้ยังต้องจับตามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นเพราะในช่วงก่อนเลือกตั้งและรอยต่อรัฐบาล ไม่ได้ออกมาตรการใหม่มาดูแลหรือพยุงเศรษฐกิจ คาดว่ามาตรการจะถูกหยิบมาใช้ เช่น ช่วยเอสเอ็มอี ช่วยคนจน และกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย

โดยกระทรวงการคลังเตรียมมาตรการกระตุ้นช้อปปิ้งไว้เสนอรัฐบาลใหม่ แม้การจับจ่ายใช้สอยผ่านโครงการช้อปตรุษจีนไม่ประสบความสำเร็จใช้เงินคืนภาษีไปแค่ 5 แสนบาท

โครงการนี้มีเม็ดเงินเตรียมพร้อมไว้แล้ว 1 หมื่นล้านบาท และมีระบบการคืนเงินผ่านอีเพย์เมนต์เตรียมพร้อมไว้แล้ว ดังนั้น นโยบายนี้น่าจะทำได้ทันที

 

นายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยหากรัฐบาลใหม่จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น เพราะมองว่าเศรษฐกิจปีนี้ยังเติบโตได้กว่า 3-4% ถือว่าโตตามศักยภาพแล้ว

แต่คิดว่านโยบายแจกคงหนีไม่พ้นเพราะได้หาเสียงไว้แล้ว โดยการแจกเงินสำหรับคนจนหากเพิ่ม 1,000 บาทต่อเดือนจะเป็นภาระงบประมาณปีละ 1.5-1.6 แสนล้านบาท ถือว่าสูงเกินไป

และหากแจกเงินจำนวนที่สูงจะอันตรายทำให้คนไม่รู้จักทำมาหากิน รอแต่เงินจากรัฐบาล

นายสมชัยกล่าวว่า สิ่งที่อยากเห็นคือการพัฒนาคนให้เป็นคนไทย 4.0 แม้จะไม่เกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจโดยตรง แต่ถ้าคนไทยมีความรู้มากขึ้น มีทักษะมากขึ้น เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (productivity) ของประเทศ โดยเฉพาะในเรื่องไอที ถ้าคนไทยมีความรู้ มีทักษะมากขึ้น การก้าวไปถึงเศรษฐกิจโตในระดับ 4-5% ไม่ใช่เรื่องยาก การส่งเสริมอีอีซีคนก็สำคัญ และที่ผ่านมาตอนที่อาลีบาบามาเซ็นสัญญาลงทุนกับไทย เขาไปเซ็นกับสิงคโปร์ มาเลเซียด้วย และถ้าไปดูสิ่งที่เขาจะไปลงทุนในสิงคโปร์ มาเลเซียนั้นเป็นประเภทที่ใช้เทคโนโลยี และใช้แรงงานที่มีทักษะมากกว่าไทย

แสดงให้เห็นว่าแรงงานไทยยังด้อยกว่า 2 ประเทศดังกล่าว

 

ด้านนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เห็นด้วยที่พรรคการเมืองมีนโยบายเติมเงินให้กับประชาชน และการเพิ่มรายได้ให้ประชาชนฐานราก คิดว่าเป็นเรื่องที่ต้องทำเป็นสิ่งแรกหลังรัฐบาลใหม่เข้ามา เพื่อเป็นการเพิ่มกำลังซื้อให้กับภาคเศรษฐกิจ ส่วนนโยบายการขึ้นอัตราแรงงานขั้นต่ำ พรรคการเมืองชี้แจงว่าจะขึ้นเฉพาะกลุ่มที่มีทักษะฝีมือเท่านั้น และขึ้นไม่เท่ากันหมด ใช้วิธีปรับขึ้นครั้งละ 50 บาท ทำให้เอกชนคลายความกังวลไปบ้าง

นโยบายบรรดาพรรคการเมืองยังคงหนีไม่พ้นวังวนประชานิยม ซื้อใจกลุ่มคนฐานราก และเกษตรกร ในอดีตที่ผ่านมาไทยมีบทเรียนการจำนำข้าว และประกันราคาทำให้เป็นหนี้หลายแสนบาท หนี้ดังกล่าวใช้เวลา 16 ปีจึงจะหมด

หลายฝ่ายหวังเอาไว้รัฐบาลใหม่จะใช้นโยบาย ลด แจก เท่าที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น