มนัส สัตยารักษ์ | กฎหมายเป็นทั้งกับดักและเครื่องกรอง

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบช.สตม. แถลงข่าวเปิดเผยรายละเอียดการกล่าวหาและจับกุม พล.ท.พงศกร รอดชมพู และ “มือแชร์” อีก 6 ราย เพราะแชร์ภาพ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นั่งจิบกาแฟกับนายไพศาล พืชมงคล ที่ปรึกษา โดยมีข้อความพาดหัวว่า “ป้อมแจง งบจิบกาแฟข้างทาง 82,000”

การจับกุมครั้งนี้ได้ร่วมกับ พล.ต.ต.ไพบูลย์ น้อยหุ่น ผบก.ปอท. (ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี)

ทั้งหมดถูกตั้งข้อหา กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 เป็นการนำเข้า เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์ โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน ตามมาตรา 14(2) และ 14(5) มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินห้าปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

รายละเอียดสืบเนื่องมาจากโลกออนไลน์ปรากฏข่าวหรือบทความบิดเบือนให้ร้ายรัฐบาล โดยพาดหัวข่าวว่า “เบิกงบกาแฟแก้วละ 12,000 บาท โดยใช้งบสวัสดิการในตำแหน่ง รวมเป็นเงิน 82,000 บาท”

ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ประชาชนเชื่อว่าเป็นข้อมูลจริง ก่อให้เกิดความเสียหายกับหน่วยงานของรัฐและความมั่นคงของชาติ

บก.ปอท. เป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นใหม่เมื่อ ปี 2552 ภารกิจหนึ่งก็คือ รับผิดชอบความผิดเกี่ยวกับการรักษาความสงบเรียบร้อย ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี การนำเข้าและเผยแพร่ข้อมูลคอมพิวเตอร์สู่ระบบที่เป็นความผิด เนื่องประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุคอินเตอร์เน็ต

มีผลงานป้องกันและปราบปรามตามสมควร แต่ดังเกรียวกราวที่สุดตอนนี้ก็คือ คดี “กาแฟแก้วละ 12,000 บาทของบิ๊กป้อม” นี่แหละ

เพราะผู้ต้องหาที่ 1 คือ พล.ท.พงศกร รอดชมพู อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปัจจุบันเป็นรอง หน.พรรคอนาคตใหม่ที่กำลังมาแรงในฐานะเป็นขวัญใจของคนรุ่นใหม่วัยหนุ่มสาว

ความจริงช่วงเวลาที่ผ่านมาในยุคสื่อดิจิตอล มีเหตุ “ข้อมูลเท็จ” หรือ “ข้อมูลปลอม” เกิดขึ้นมากมาย อันน่าจะเกิดความเสียหายในด้านต่างๆ ของประเทศ เช่น ข่าวว่าหมูจากฟาร์มที่จังหวัดนครปฐมเป็นเอดส์ เป็นต้น มีคนหลงเชื่อกันมากว่าเป็นความจริง จึงพากันแชร์เตือนกันไปทั่วโลกออนไลน์ แม้แต่คนที่ไม่ค่อยเชื่อก็แชร์เตือนพรรคพวกเป็นการป้องกันไว้ก่อน

ผมจำได้ว่าหลังจากนั้นอีกนานจึงมีคนออกโรงมาปฏิเสธข่าว “หมูเป็นเอดส์” ว่าเป็นข่าวลวง แล้วเงียบสงบกันไปพักหนึ่ง ครั้นแล้วข่าว “หมูเป็นเอดส์” นี้ก็หวนกลับมาใหม่ในจอสี่เหลี่ยมอีกรอบ ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมไม่พบข่าวจับกุมดำเนินคดีผู้โพสต์และเผยแพร่ข่าวแต่อย่างใด

รัฐอาจจะดำเนินการไปแล้วในฐานะเป็นข่าวขำขันก็ได้

ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของสื่อผมยังมองเห็นความจำเป็นและสำคัญของสื่อสิ่งพิมพ์ เพราะดูเหมือนว่าเราจะต้องอาศัยสื่อสิ่งพิมพ์และ “ผู้สื่อข่าวตัวจริง” ในการแสวงหา “ความจริง” มาตรวจสอบข่าวเท็จและข่าวลวง

และในฐานะเป็นอดีตตำรวจอยู่ในยุคที่อื้ออึงด้วยกระแส “ปฏิรูปตำรวจ” ผมรับฟังและตรวจสอบความจริงจากข่าวให้ร้ายตำรวจอยู่โดยธรรมชาติและโดยอัตโนมัติ

แล้วก็พบว่าหลายครั้งที่สื่อดิจิตอลสนุกสนานบันเทิงใจกับข่าวร้ายหรือข่าวเสียหายของสถาบันตำรวจ ตัวอย่างจากกรณี “ครูจอมทรัพย์” ซึ่งตำรวจถูกประณามว่า “จับแพะ” เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด

ล่าสุดสดๆ ร้อนๆ ศาลจังหวัดนครพนมสั่งจำคุก 8 ปีครูจอมทรัพย์กับพวก ฐานปั้นหลักฐานเท็จรื้อคดีขับรถชนคนตาย

ผมจำได้ว่าก่อนหน้านี้สื่อดิจิตอลและนักเลงคีย์บอร์ดต่างสนุกสนานกับการประณามตำรวจว่าจับแพะ ไม่เว้นแม้แต่สื่อหลักอย่างทีวีช่องหนึ่ง โฆษกหรือพิธีกรคนดังสนุกสนานบันเทิงเป็นพิเศษกับการประณามตำรวจ เพราะตำรวจมีจุดอ่อนที่ภาพพจน์และถูกมองแบบเหมารวม

ผมค่อนข้างมั่นใจว่าผู้ต้องหาของ บก.อปท. ทั้ง 6 หรือ 7 ราย รวมทั้ง พล.ท.พงศกร ต่างมีความบันเทิงใจในการโพสต์และแชร์ข้อมูลอันเป็นเท็จเรื่องกาแฟแก้วละ 12,000 บาทครั้งนี้เช่นกัน เพราะภาพพจน์และรสนิยมของบิ๊กป้อมที่ผ่านมาทำให้มองข้าม “ความจริง” ไปได้โดยง่าย

รู้สึกดีใจที่มีการร้องทุกข์ มีการสอบสวนและจับกุมเพื่อดำเนินดคีในเรื่องนี้ เพราะจะทำให้ความจริงปรากฏขึ้น ยุติพฤติกรรมสร้างความเท็จและข่าวลวงได้ครั้งหนึ่ง

ใกล้วันเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 นอกจากจะแถลงนโยบายกันแล้ว การหาเสียงของพรรคการเมืองเข้มข้นขึ้น มีทั้งการอวดอ้างสรรพคุณพรรคตัวเองและสาดโคลนพรรคตรงข้าม บางพรรคก็ฟ้องร้องต่อศาลสถิตยุติธรรม บางพรรคก็ทำไม่รู้ไม่ชี้เกรงว่าการฟ้องจะกลายเป็น “กับดัก” ให้ต้องเปิดปากและต้องยอมรับความจริง!

มี 2 กรณีที่น่าสนใจ คือข้อความโจมตีพรรคเพื่อไทย กับกรณีพรรคอนาคตใหม่ ฟ้อง ม.จ.จุลเจิม ยุคล และ T-news

กรณีแรก สื่อดิจิตอลโพสต์ภาพโปสเตอร์แพร่ไปในเฟซบุ๊กโดยพาดหัวว่า “มรดกบาป” เนื้อหาของภาพขยายความว่า มรดกบาปที่คนไทยได้รับจากโครงการรับจำนำข้าวของ “พรรคเพื่อไทย” ในยุคของนางยิ่งลักษณ์ ทำให้รัฐบาลต้องชำระหนี้ให้ ธ.ก.ส. ปีละ 5 หมื่นล้าน เป็นเวลา 16 ปี จึงจะชำระหนี้จำนำข้าว 5 แสนล้าน ได้หมด

ท้ายภาพจากดิจิตอลมีข้อความต่อต้านมิให้ประชาชนเลือกพรรคเพื่อไทยอีกในขณะที่พรรคเพื่อไทยยังหาเสียงด้วยสโลแกน “ต่อต้านการคอร์รัปชั่นทุกรูปแบบ”

ถ้าข้อความในเพจไม่เป็นความจริง พรรคเพื่อไทยก็น่าที่จะฟ้องร้องกล่าวโทษต่อ บก.อปท. แต่ถ้ายอมรับว่าข้อความดังกล่าวเป็นความจริง คำโฆษาหาเสียงของพรรคก็เชื่อถือไม่ได้

ส่วนอีกกรณี พรรคอนาคตใหม่ ฟ้อง ม.จ.จุลเจิม ยุคล และ T-news ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา กล่าวหาพรรคอนาคตใหม่และหัวหน้าพรรคมีนโยบายล้มล้างสถาบัน

ในฐานะเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง (ที่สับสน) ต้องแสวงหา “ความจริง” จึงรู้สึกยินดีที่มีการฟ้องร้องอันจะนำไปสู่การพิจารณาและการวินิจฉัยเสียที