วงค์ ตาวัน | เมื่อมาร์คขอเป็นผู้นำแทนบิ๊กตู่

วงค์ ตาวัน

จากเดิมที ที่มองกันว่าในสนามเลือกตั้ง 24 มีนาคม จะเป็นการต่อสู้ในลักษณะศึก 3 ก๊ก คือ ก๊ก คสช.นำโดยพรรคพลังประชารัฐ ก๊กไม่เอา คสช.นำโดยเพื่อไทย อนาคตใหม่ และก๊กที่สาม นำโดยพรรคประชาธิปัตย์

ทั้งนี้ตั้งแต่เริ่มเปิดสนามเลือกตั้งใหม่ๆ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แสดงท่าทีต่อต้าน คสช. และยืนกรานหัวเด็ดตีนขาด ไม่ร่วมกับระบอบทักษิณ จึงเปรียบกันว่าเป็นขั้วที่ 3 ที่คงรอดูท่าทีว่าจะพลิกไปทางไหน เพียงแต่ก็เชื่อโดยลึกๆ ว่า สุดท้ายประชาธิปัตย์ก็คงร่วมสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐนั่นเอง

เพราะโอกาสที่จะจับมือกับเพื่อไทยนั้นเป็นไปไม่ได้เลยอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากเพื่อไทยเองก็ไม่มีทางร่วมมือกับนายอภิสิทธิ์ได้อย่างแน่นอน

แถมแนวโน้มผลเลือกตั้ง น่าเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยคงมาเป็นอันดับ 1 แต่ด้วยกลไกกติกาที่วางเอาไว้แล้ว เปิดทุกทางทุกบานประตูให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพรรคพลังประชารัฐจะได้จัดตั้งรัฐบาล ด้วยการรวบรวมพรรคขนาดกลางเข้าร่วมสนับสนุน และด้วยเสียง 250 ส.ว.ที่เตรียมไว้โหวตนายกฯ เอาไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว

“มีแนวโน้มสูงที่พรรคเพื่อไทยจะเป็นพรรคอันดับ 1 แต่ก็กลายเป็นพรรคฝ่ายค้านใหญ่สุด”

ดังนั้น พรรคเพื่อไทยไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องคิดหาความร่วมมือกับประชาธิปัตย์ อีกทั้งเพื่อไทยก็วางพรรคการเมืองอื่นๆ เอาไว้เป็นพรรคพี่พรรคน้องพร้อมอยู่แล้ว

จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์พลิกผัน ทำให้พรรคไทยรักษาชาติที่วางไว้เป็นอันดับ 2 ต้องโดนยุบก่อนเลือกตั้ง

แต่พรรคพี่น้องของเพื่อไทยที่เหลืออยู่ ก็ยังมีพรรคประชาชาติ พรรคเพื่อธรรม พรรคเสรีรวมไทย และพรรคเพื่อชาติ ที่เป็นแนวร่วมแบบห่างหน่อย แต่ก็มีความสัมพันธ์เกี่ยวก้อยกันอยู่

“ไปจนถึงพรรคอนาคตใหม่ พรรคของคนรุ่นใหม่ไฟแรง ที่ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับพรรคเพื่อไทยและเครือข่าย แต่สามารถเป็นแนวร่วมกันได้ด้วยจุดยืนทางการเมืองที่เด่นชัดตรงกันคือ การต่อต้าน คสช. มุ่งทำให้การเมืองไทยไปสู่ประชาธิปไตยเสรี”

โอกาสที่อนาคตใหม่จะเป็นพันธมิตรกับเพื่อไทยและเครือข่ายตระกูลเพื่อ มีความเป็นไปได้มาก

ดังนั้น ประชาธิปัตย์จึงไม่เคยอยู่ในแนวคิดของเพื่อไทยที่จะติดต่อเจรจากัน

จนถึงช่วงโค้งสุดท้าย ที่นายอภิสิทธิ์ทิ้งบอมบ์ ประกาศไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ไม่ยอมรับการสืบทอดอำนาจของ คสช. พร้อมกับเน้นย้ำไม่ร่วมกับระบอบทักษิณแน่นอน

AFP PHOTO/PORNCHAI KITTIWONGSAKUL (Photo by PORNCHAI KITTIWONGSAKUL / AFP)

แต่นายอภิสิทธิ์ก็เปิดท่าทีชัดเจนว่าพร้อมจะร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ ถ้าไม่มีการสืบทอดอำนาจ

“ไพ่ใบสุดท้ายที่นายอภิสิทธิ์ทิ้งลงมา นับว่าได้ผล เขย่าพลังประชารัฐจนสั่นไหว!!”

แต่นักวิเคราะห์การเมืองชี้ได้เลยว่า นี่คือคำประกาศของนายอภิสิทธิ์ที่จะช่วงชิงการเป็นผู้นำขั้วตรงข้ามกับเพื่อไทย มุ่งยึดการนำจากพรรคพลังประชารัฐนั่นเอง

ช่วง 1-2 สัปดาห์สุดท้ายก่อนเลือกตั้ง จึงเห็นได้ชัดว่าเป็นศึก 2 ขั้วเท่านั้น ไม่มีขั้วที่ 3 แต่อย่างใด!

จริงๆ แล้วคำประกาศล่าสุดของนายอภิสิทธิ์มีความชัดเจนอยู่ในถ้อยแถลงทุกอักษร นั่นคือ ประกาศต่อต้านประยุทธ์ ไม่เอาการสืบทอดอำนาจ แต่พร้อมเจรจากับพลังประชารัฐ รวมทั้งไม่ร่วมกับเพื่อไทยแน่ๆ

นั่นก็คือการมุ่งเข้ามาเป็นแกนนำในขั้วนี้ จากเดิมทีที่มี พล.อ.ประยุทธ์และพลังประชารัฐเป็นแกนนำ แต่บัดนี้นายอภิสิทธิ์ประกาศจะเป็นแกนนำแทน ด้วยการขอเป็นนายกฯ เอง และมุ่งบีบให้พลังประชารัฐกลายเป็นพรรคที่ต้องเข้ามาร่วมกับประชาธิปัตย์ โดยไม่มี พล.อ.ประยุทธ์บนเก้าอี้นายกฯ

จะว่าไปแล้วขั้วการเมืองขั้วนี้ก็คือขั้วฝ่ายอนุรักษนิยมหรือกลุ่มอำนาจเก่าของสังคมไทย ปรารถนาระบบการเมืองซึ่งชนชั้นสูง กลุ่มทุนใหญ่ เป็นผู้ควบคุมกำกับ ประชาธิปไตยก็เป็นแค่ประชาธิปไตยครึ่งใบเท่านั้น ไม่ควรเป็นประชาธิปไตยเสรี ที่พรรคการเมืองเติบโตเป็นใหญ่ จนไม่มีใครควบคุมได้

“นักวิเคราะห์การเมืองมักเรียกว่าเป็นกลุ่มขุนศึกขุนนาง ซึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย คอยจดจ้องในช่วงที่ระบอบประชาธิปไตยอ่อนแอ แล้วผลักดันเครือข่ายให้ออกมาเคลื่อนไหว สร้างกระแสจนนำไปสู่การรัฐประหาร ล้มกระดานการเมือง ทำมาตลอดเป็นวงรอบ หนล่าสุดก็คือปี 2549 และ 2557”

จนเมื่อจำเป็นต้องมีเลือกตั้ง 24 มีนาคมนี้ ก็มีการเตรียมการให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อไป เพื่อเป็นตัวแทนของขั้วนี้ ในการครองอำนาจต่อไปยาวนานที่สุด

แต่ในสนามเลือกตั้ง ย่อมต้องเผชิญกับการต่อสู้ของพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม ซึ่งนำโดยเพื่อไทย และหนนี้มีพรรคใหม่มาแรงคือพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งนับวันจะแรงจนหยุดไม่อยู่ เพราะเป็นพรรคที่มีความแตกต่างจากพรรคการเมืองเดิมๆ มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่ชัดเจนแหลมคม ถูกใจคนรุ่นใหม่อย่างมาก

พรรคพลังประชารัฐ พรรคหลักของขั้วการเมืองอนุรักษนิยม ที่จะนำ พล.อ.ประยุทธ์นั่งเก้าอี้นายกฯ ต่อไปให้ได้ ต้องฝ่ากระแสฝ่ายประชาธิปไตยอย่างเหน็ดเหนื่อย จนเมื่อถึงจุดที่พรรคประชาธิปัตย์เห็นว่าพลังประชารัฐเริ่มเพลี่ยงพล้ำ ก็ออกมาประกาศทุบ พล.อ.ประยุทธ์และ คสช.อย่างได้ผล

“พร้อมกับประกาศตัวขอเป็นผู้นำขั้วนี้แทน!”

เพราะการต้าน พล.อ.ประยุทธ์และการสืบทอดอำนาจดังกล่าว นายอภิสิทธิ์ไม่ได้ประกาศเพื่อไปร่วมกับฝ่ายประชาธิปไตย

แต่ประกาศเพื่อขอเป็นผู้นำขั้วนี้แทน ด้วยเล็งเห็นว่าจุดแข็งของ พล.อ.ประยุทธ์ในเรื่องมีพรรคการเมืองที่ตั้งปุ๊บโตปั๊บ มีกลไกกติการองรับทุกด้าน มี ส.ว.พร้อมโหวตให้ ทั้งหลายทั้งปวงเริ่มเป็นจุดอ่อนในสายตาประชาชน ในด้านความไม่ถูกต้องเป็นธรรม

อีกทั้งบุคลิกส่วนตัวของ พล.อ.ประยุทธ์นั้น เริ่มไม่ประทับใจชนชั้นสูงและกลุ่มผู้ดีไฮโซ ด้วยความดุดันแข็งกร้าวเกินไป ขณะที่บุคลิกนักเรียนนอกของนายอภิสิทธิ์ เป็นที่ประทับใจของชนชั้นสูงมากกว่า

แต่เป้าหมายของนายอภิสิทธิ์จะบรรลุได้ต้องรอดูผลการเลือกตั้งด้วย โดยประชาธิปัตย์จะต้องได้ ส.ส.มาเป็นอันดับ 2 พร้อมกับเตะพลังประชารัฐให้เป็นพรรคอันดับ 3 นั่นจะทำให้นายอภิสิทธิ์มีฐานะต่อรองกับพลังประชารัฐ ในการร่วมมือกันตั้งรัฐบาลเพื่อสกัดเพื่อไทย

เช่นนี้แล้ว แผนคัมแบ๊กนายกฯ ของนายอภิสิทธิ์จึงเป็นไปได้

การประกาศไม่ยอมรับ พล.อ.ประยุทธ์และการสืบทอดอำนาจ เป็นส่วนหนึ่งของการทำให้พลังประชารัฐเริ่มอ่อนลงไป โดยหวังดูดคะแนนของกลุ่มคนแนวอนุรักษนิยมการเมืองและเกลียดทักษิณ หันมาเลือกประชาธิปัตย์แทน

“เพื่อให้ได้นายกฯ ที่พูดจาหรูหราดูดีมีสกุลกว่า!”

แต่ขณะเดียวกัน ต้องดูผลการเลือกตั้งของพรรคการเมืองอีกขั้วด้วยว่า ออกมาแบบไหน

“พรรคเพื่อไทยยังคงมีโอกาสเป็นอันดับ 1 เช่นเดิม ด้วยจำนวน ส.ส.เกินกว่าร้อยแน่ๆ แต่ถ้าแรงจนถึง 200 ก็จะสร้างความลำบากให้อีกขั้วอย่างมาก”

ตามด้วยแนวร่วม ที่น่าจะเข้ามาเป็นพรรคระดับกลางๆ ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาชาติ พรรคเพื่อชาติ เพื่อธรรม หากรวมแล้วได้มากพอ ก็น่าคิดอย่างมาก

ที่สำคัญคือ พรรคอนาคตใหม่ ที่ต่อต้าน คสช.แน่ๆ และกำลังมีคะแนนนิยมพุ่งสูงมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างคาดไม่ถึง จากที่คาดกันว่าจะได้ ส.ส.ประมาณ 20-30 ที่ มาวันนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีหยุด ไปถึง 50-60 ที่นั่ง

“จนน่าเชื่อว่าจะได้รับเลือกตั้งมาเป็นพรรคอันดับ 4 ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะพุ่งขึ้นไปอีกในช่วงท้ายๆ หรือไม่!?”

สุดท้ายผลการเลือกตั้งว่าพรรคไหนได้เท่าไร ระหว่างขั้วใครได้มากน้อยกว่ากันขนาดไหน จะเป็นจุดตัดสินว่าใครจะได้เป็นรัฐบาล

เพียงแต่วันนี้ กลเม็ดช่วงโค้งสุดท้ายของนายอภิสิทธิ์ ที่นับว่าเขย่าเวทีการเมืองอย่างได้ผล

แต่ก็เป็นการแสดงให้เห็นชัดว่า คือ การช่วงชิงเป็นแกนนำในขั้วอนุรักษนิยมแทนพลังประชารัฐนั่นเอง!