ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์/ IF BEALE STREET COULD TALK

นพมาส แววหงส์

ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์

IF BEALE STREET COULD TALK

‘ถ้าถนนพูดได้…’

 

กำกับการแสดง Berry Jenkins

นำแสดง Stephan Fanes Kiki Layne Regina King Aunjanue Ellis

 

ถนนบีลตามชื่อหนังเป็นถนนที่ตั้งอยู่ในเมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี รัฐทางใต้ของอเมริกา ซึ่งเป็นถิ่นของดนตรีแบบแจ๊ซและบลูส์ของคนผิวดำ

เนื้อเพลงจาก Beale Street Blues ของดับเบิลยู ซี แฮนดี้ ขึ้นต้นด้วยประโยคว่า

“ถ้าถนนบีลพูดได้…”

ซึ่งกลายมาเป็นชื่ออันแปลกประหลาดของหนังเรื่องนี้

ทว่าเรื่องราวกลับไม่ได้เกิดขึ้นที่เมมฟิสอันเป็นถิ่นที่เคยมีการเหยียดผิวรุนแรงที่สุดแห่งหนึ่ง แต่เกิดในฮาร์เล็ม ถิ่นคนผิวดำของนิวยอร์ก

ถ้าถนนบีลพูดได้ มันจะพูดถึงสิ่งที่มันรู้เห็นเป็นพยานจากเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตของผู้คนบนท้องถนนอย่างไรบ้าง และจะส่งผลแปรเปลี่ยนชีวิตของผู้คนไปอย่างไรบ้าง

นี่เป็นเรื่องราวในชีวิตของหนุ่มสาวผิวดำสองคน ที่ประกาศก้องร้องดังด้วยคำว่า “อยุติธรรม! เหยียดผิว!”

 

ในเมืองฮาร์เล็ม นิวยอร์ก สาวน้อยผิวดำคนหนึ่งชื่อ ทิช (กีกี เลย์น) ไปเยี่ยมแฟนหนุ่มผิวดำ ฟอนนี่ (สเตฟาน เฟนส์) ในที่คุมขัง และบอกให้รู้อย่างอายๆ ว่าเธอกำลังตั้งครรภ์

ปฏิกิริยาจากแฟนหนุ่มคือตื่นเต้นดีใจจนไม่อยากเชื่อว่าตนจะได้เป็นพ่อคน และอยากทำเรื่องทั้งหมดให้ถูกต้อง และเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว เนื่องจากทั้งสองยังไม่ทันพ้นวัยรุ่น และยังไม่ปีกกล้าขาแข็งพอจะสร้างครอบครัวโดยลำพัง

และทิชสัญญาว่าจะช่วยให้ฟอนนี่พ้นข้อหาออกจากคุกให้ได้ในเร็ววัน

แต่ “เร็ววัน” นั้นก็ใช่ว่าจะมาถึงได้ง่ายๆ สำหรับคนผิวดำที่โดนตราหน้าเหมารวมว่าเป็นอาชญากรไปตั้งแต่กระบวนการยุติธรรมยังไม่ได้เริ่มต้นด้วยซ้ำ

หนังเดินเรื่องอย่างช้าๆ ด้วยฉากที่ทิชบอกข่าวกับแม่ (เรจินา คิง) เป็นคนแรก โดยอ้อมค้อม แทบจะอ้าปากไม่ขึ้น ก่อนจะบอกได้ว่าเธอตั้งท้องกับฟอนนี่

และแม่เป็นคนบอกพ่อ ที่รับข่าวอย่างดีโดยไม่ดุด่าว่ากล่าวลูกสาวเลย และต้อนรับสมาชิกใหม่ในท้องลูกสาวแทบจะในทันที โดยจัดแจงจะประกาศข่าวให้ฝ่ายผู้ชายรู้ด้วยการเชิญมากินเลี้ยงที่บ้าน

แต่แม่ของฟอนนี่คนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้รับข่าวนี้อย่างดี แต่ระเบิดอารมณ์ใส่โดยแสดงความเป็นคนเคร่งศาสนา และบอกว่าการท้องก่อนแต่งงานนี้เป็นบาปอันใหญ่หลวง

ฉากภายในครอบครัวแสดงให้เห็นรายละเอียดในชีวิตของตัวละครได้ดี ว่านางเอกมีครอบครัวที่คอยสนับสนุนให้กำลังใจ รักใคร่ใยดีและผูกพันกันอย่างเหนียวแน่น

 

หนังตัดกลับไปสู่เรื่องราวความรักอันเริ่มผลิบานของทิชกับฟอนนี่ และการวางแผนสร้างครอบครัวด้วยกัน

โดยที่ระหว่างนั้น ฟอนนี่บังเอิญไปเกิดเรื่องขวางหูขวางตาของตำรวจที่เหยียดผิว และมุ่งร้ายหมายขวัญจะจับฟอนนี่เข้าคุกให้ได้

และการชี้ตัวคนผิวดำว่าเป็นอาชญากรนั้นก็ทำได้ไม่ยากเย็น หนังทำให้เห็นด้วยซ้ำว่านี่คือเรื่องราวที่คนผิวดำต้องเผชิญหน้ากับอคติของตำรวจอยู่เป็นประจำ

ในคดีข่มขืนหญิงสาวชาวเปอร์โตริกัน เหยื่อถูกชี้นำให้ชี้ตัวผู้ต้องสงสัยที่มาเข้าแถวยืนให้ชี้ตัว โดยไม่ต้องอาศัยหลักฐานพยานอย่างอื่นเลย

แถมเหยื่อผู้เสียหายในคดีก็ยังไม่ต้องมาเป็นพยานในการขึ้นศาลเพื่อพิสูจน์ความผิดของผู้ต้องหาด้วยซ้ำ

ในกรณีนี้ หญิงสาวผู้เสียหายออกจากท้องที่ไป และเดินทางกลับประเทศของตนไปแล้ว

ร้อนถึงแม่ของทิชต้องหาเงินหาทองเดินทางไปต่างแดนเพื่อตามหาตัวมาให้ปากคำใหม่ ซึ่งดูจะเป็นทางรอดทางเดียวของฟอนนี่ในคดีนี้

แต่ความพยายามของเธอ แม้จะดูเหมือนจะพาเรื่องให้เฉียดใกล้ความสำเร็จเข้าไปอีกนิด แต่ก็กลับพาคดีถอยห่างกลับมายังจุดเริ่มต้นใหม่ โดยไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย

 

หนังเล่าเรื่องอย่างเรียบง่าย ไม่มีอะไรหวือหวา

ไม่มีการสืบพยานของฝ่ายทนายความ ไม่มีการขึ้นศาล พิจารณาคดี และไม่มีการพลิกเรื่องไปอย่างที่มักเกิดขึ้นในหนังประเภท courtroom drama

ทนายความผิวขาวที่รับว่าความให้ ก็ไม่ได้แสดงความเก่งกาจฝีปากคมกริบหรือมีกลยุทธ์ในการต่อสู้ที่จะนำไปสู่ชัยชนะได้

และหนังก็ไม่ได้ต้องการวางแนวทางการพลิกคดีชนะได้แต่ประการใด

ตรงข้าม เรากลับเห็นว่าที่ทิชทำได้คือแค่อุ้มท้องไปเยี่ยมแฟนในคุก และที่สุดแล้วก็พาลูกไปเยี่ยมพ่อ

ที่หนังต้องการสื่อคือการเกิดเป็นคนผิวดำนี่ต้องได้รับความอยุติธรรมอย่างไม่มีทางร้องแรกแหกกระเชอใดๆ คนผิวดำซึ่งสมัยนั้นเรียกกันว่า “นิโกร” ต้องก้มหน้ารับกรรมที่ตนไม่ได้ก่อ ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจ ไม่ได้มีส่วนแม้แต่เพียงกระผีกในอาชญากรรมด้วยซ้ำ

คนบริสุทธิ์นับไม่ถ้วนโดนเหมารวมและโดนตราหน้าว่าเป็นคนร้ายแม้แต่ไม่ต้องขยับตัวทำอะไรทั้งสิ้น เพียงเพราะเกิดมาด้วยสีผิวที่ผิดในถิ่นฐานบ้านเมืองที่ถือว่าเป็นอารยะแล้วอย่างอเมริกา

ในแง่ของภาพยนตร์ นี่เป็นเรื่องราวซ้ำๆ ที่พูดแล้วพูดอีก ไม่ว่าจะเป็นจาก Moonlight เมื่อปีที่แล้ว หรือ The Green Book ในปีนี้ และจะยังคงต้องพูดถึงประเด็นนี้ต่อไปอีกนาน อย่างน้อยก็เพื่อให้ผู้คนได้สำเหนียกในอคติที่มนุษย์เราสร้างขึ้นและแสดงต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

แต่หนังก็ไม่ได้ตอกย้ำแสดงให้เห็นในด้านของตัวผู้ร้ายที่มองไม่เห็นหัวอกมนุษย์ด้วยกัน หรือหัวอกคนบริสุทธิ์ที่ต้องมารับกรรมที่ตนไม่ได้ก่อ

หนังกลับเลือกที่จะเล่าเรื่องแบบซื่อๆ ถึงคนบริสุทธิ์ที่ไม่มีปัญญา ไม่มีทรัพยากรจะต่อสู้กับความอยุติธรรม และต้อง “เลยตามเลย” คือยอมก้มหน้ารับกรรมไป โดยสารภาพผิดเสียเลยบ้างเพื่อจะได้รับความปรานีลดโทษจากขั้นสูงสุด

เรื่องราวอันราบเรียบแต่กินใจในชีวิตของหนุ่มสาวผู้กำลังจะตั้งต้นชีวิตใหม่ด้วยกัน โดยไม่ได้ทำอะไรที่จะเรียกได้ว่าผิดกฎหมายเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะเรื่องยาเสพติดหรืออาชญากรรมลักเล็กขโมยน้อย ไม่มีจุดพลิกผันอะไร ได้แต่เดินไปสู่จุดหมายปลายทางคือ เรื่องอคติอันหนาแน่นและความอยุติธรรมอันเอนเอียง โดยไม่หักเหเบี่ยงเบน

และพาเรากลับมาสู่ชื่อเรื่องที่ตั้งไว้เป็นประโยคกึ่งๆ ที่ยังต้องมีความมาต่อให้จบ…

นั่นคือ ถ้าถนนพูดได้ มันจะพูดให้เรารู้ถึงเรื่องอะไรบ้างที่มันเป็นประจักษ์พยานแบบเที่ยงธรรมและไร้อคติ

If Beale Street Could Talk…