นงนุช สิงหเดชะ : ชัยชนะ “ทรัมป์” จุดกระแส “ประชานิยม” ลามทั่วโลก

AFP PHOTO / Robyn Beck

ยังคงกล่าวขานกันไม่จบสิ้น สำหรับชัยชนะของ โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน ที่ช็อกโลกด้วยการได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐ

เหตุที่กล่าวขานไม่สิ้นสุดเพราะนโยบายที่เขาหาเสียงไว้หลายอย่างสร้างความหวั่นเกรงว่าจะส่งผลกระทบในทางลบ ปั่นป่วนไปทั่วโลก

บางคนก็ว่าอาจถึงขั้นเปลี่ยนแปลงระเบียบโลกที่มีอยู่เดิม

วอชิงตันโพสต์ เขียนบทวิเคราะห์ว่า ชัยชนะของทรัมป์ อาจเป็นแค่จุดเริ่มต้นของคลื่นประชานิยม (populist) ที่จะแผ่ไปทั่วโลก แต่อันที่จริงคลื่นที่ว่าไม่ได้เริ่มต้นแค่ในสหรัฐ แต่มันเริ่มต้นในบางประเทศมาก่อนหน้านั้นแล้ว เช่น ฟิลิปปินส์ที่ประชาชนชอบอกชอบใจคำพูดเด็ดขาดรุนแรงของดูแตร์เต ที่ว่าจะฆ่าพวกค้ายาเสพติดให้หมดและโยนลงแม่น้ำให้ปลากินจนอ้วน จนทำให้เขาได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี

หรืออย่างกรณีของอังกฤษที่นักการเมืองประเภทประชานิยมและเอียงขวาจัด สามารถโน้มน้าวให้ประชาชนโหวตออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู)

หลังทรัมป์ชนะ พวกฝ่ายขวาในยุโรปแสดงความยินดีปรีดา เช่น พรรคเนชั่นแนล ฟรอนต์ ของ นางมารี เลอแปง ที่มีนโยบายต่อต้านผู้อพยพ ที่พูดหลังจากทรัมป์ชนะว่า

“โลกของพวกเขากำลังล่มสลาย แต่โลกของพวกเรากำลังถูกสร้างขึ้น”

อาจเป็นไปได้ว่าการเลือกตั้งฝรั่งเศสปีหน้า เลอแปงอาจชนะเลือกตั้ง รวมถึงออสเตรียที่จะเลือกตั้งเดือนธันวาคมนี้ ก็อาจเป็นยุโรปตะวันตกชาติแรกที่เลือกพวกขวาจัดขึ้นเป็นผู้นำครั้งแรกนับจาก ค.ศ.1945

ไนเจล ฟาราจ AFP PHOTO / Ben STANSALL
ไนเจล ฟาราจ AFP PHOTO / Ben STANSALL

ไนเจล ฟาราจ นักการเมืองขวาจัดในอังกฤษ ที่เป็นหัวหอกในการรณรงค์ให้คนอังกฤษโหวตออกจากอียู (Brexit) เป็นคนหนึ่งที่ส่งเสียงสนับสนุนทรัมป์มาโดยตลอดและถึงกับแนะให้ทรัมป์ตามรอยเบร็กซิท โมเดล ซึ่งทรัมป์ก็ทำตามจริงๆ ฟาราจนั้นถึงกับมาหาทรัมป์ที่สหรัฐเลยทีเดียวในช่วงหาเสียง พร้อมกับประกาศว่าจะช่วยให้เกิดชัยชนะแบบเดียวกับเบร็กซิทและทรัมป์ทั่วชาติตะวันตก (หมายความว่าจะทำให้ชาติตะวันตกได้คนแบบทรัมป์เป็นผู้นำให้หมด)

กระแสประชานิยมจุดติดขึ้นมาอีกในรอบนี้ ถือเป็นชัยชนะของพวกนักการเมืองที่พร่ำพูดถึงการใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด เป็นพวกที่นิยมกระทำอะไรเพียงฝ่ายเดียวแทนที่จะใช้วิธีร่วมมือกับหลายฝ่าย และยกผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ไว้เหนือสิทธิคนกลุ่มน้อยที่มีเชื้อชาติและศาสนาต่างจากพวกตน

มาร์ก เลนนาร์ด ผู้อำนวยการสภาความสัมพันธ์ต่างประเทศของยุโรป บอกว่าแม้สาเหตุที่ทำให้ประชานิยมผงาดเฟื่องฟูขึ้นมาจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ทว่า ก็มักจะมีลักษณะร่วมกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือประชาชนไม่พอใจเรื่องเศรษฐกิจที่เห็นว่าประโยชน์ไปตกอยู่กับคนรวยส่วนน้อย

พวกเขาไม่สบายใจกับโลกปัจจุบันที่เชื่อมโยงกันมากขึ้น

และพวกเขารู้สึกแปลกแยกจากนักการเมืองที่ไปเข้าพวกกับคนรวยบนความสูญเสียของชนชั้นแรงงาน

อย่างไรก็ตาม ประชาชนเหล่านี้แทบจะไม่แคร์ว่าผู้นำประชานิยมที่อ้างว่าจะมาเป็นปากเป็นเสียงให้กับพวกเขา มักเป็นลูกคนรวยที่มีสิทธิพิเศษและแทบจะไม่ได้สัมพันธ์ สัมผัสกับคนส่วนใหญ่ในประเทศเลย

“ประชาชนรู้สึกว่าพวกเขาต้องการพระเอกนักรบที่จะมาช่วยพังทลายองค์กรหรือสถาบันต่างๆ ให้แหลกละเอียด พวกเขาไม่สนว่าผู้นำเหล่านั้นเป็นคนแบบเดียวกับประชาชนที่เลือกเขามาหรือไม่ ขอเพียงผู้นำคนนั้นมีความตั้งใจจะทำให้สิ่งที่มีอยู่หยุดชะงักยุ่งเหยิงหรือเสียระบบก็พอใจแล้ว” เลนนาร์ด ระบุ

เขาระบุว่า ที่กล่าวมาข้างต้น เป็นกรณีเดียวกับที่เกิดกับทรัมป์ ลูกคนรวยที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำและเป็นคนเมือง เป็นพวกอีลีต แต่สามารถชนะเลือกตั้งเพราะครองใจคนชนบทและผู้มีการศึกษาน้อย

ผู้นำประชานิยมมักจะปลุกเร้าผู้ลงคะแนนด้วยวาทกรรมเหมือนๆ กันคือให้นำอำนาจการควบคุม (ปกครอง) กลับมาเป็นของประชาชน

ผู้อำนวยการสภาความสัมพันธ์ต่างประเทศของยุโรป ทิ้งท้ายด้วยว่าหนทางที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดในการทำลายคลื่นประชานิยมก็คือปล่อยให้ผู้นำประเภทนี้ปกครองประเทศไปก่อน แล้วสุดท้ายมันก็จะพิสูจน์ว่าพวกเขาทำได้ไม่ดี

ตัวอย่างมีให้เห็นแล้วในประเทศประชานิยมอย่างอาร์เจนตินาและโบลิเวีย

กรณีของทรัมป์นั้น หากย้อนไปดูวิธีหาเสียงของเขา จะเห็นว่าเข้าสูตรผู้นำประชานิยมชัดเจน นั่นคือเขามักจะอวดอ้างว่าเข้าใจหัวใจคนชั้นล่าง ผู้ใช้แรงงานดีกว่าคนอื่น พูดให้ประชาชนรู้สึกคับแค้นใจต่อสถาบันหรือองค์กรต่างๆ ที่บริหารประเทศอยู่ พูดในทำนองว่าคนยากจนถูกทอดทิ้ง ส่วนพวกนักการเมืองก็ไปคบกับคนรวยเพื่อประโยชน์ของไม่กี่คน

AFP PHOTO / KENA BETANCUR
AFP PHOTO / KENA BETANCUR

หากย้อนไปอ่านหนังสือของทรัมป์ Great Again ซึ่งมีชื่อเดียวกับที่ใช้เป็นสโลแกนหาเสียงของเขา (Make America Great Again-ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง) จะเห็นได้ว่าคำพูดและแนวคิดในการหาเสียงล้วนมาจากหนังสือเล่มนี้ที่เขาเขียนขึ้นเองเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเขาอ้างว่านี่เป็นพิมพ์เขียวที่บอกว่าเขาจะทำให้อเมริกายิ่งใหญ่ได้อย่างไร

เพียงแค่บทนำ ก็ไม่แปลกใจว่าทำไมเขาชนะใจชาวบ้าน นั่นเพราะพูดในสิ่งที่ชาวบ้านรู้สึก ฟังแล้วเคลิ้มโดนใจ

เขาตำหนิทุกฝ่ายว่าไร้ประสิทธิภาพ บริหารไม่เป็น (เพราะไม่เคยทำธุรกิจ) ประชาชนจึงลำบาก เขาเปิดศึกไม่เว้นแม้แต่กับสื่อมวลชน

เสร็จแล้วเขาก็สรุปว่าเขานั้นเก่ง เพราะทำธุรกิจมาก่อน พิสูจน์ได้จากการที่เขาสร้างตึก (อันสวยงาม) ไว้ทั่วโลก

“ยี่ห้อทรัมป์เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ยิ่งใหญ่ของโลกในแง่คุณภาพและความเป็นเลิศ ทุกคนพูดถึงมัน ทุกคนรู้จักมัน มันพิเศษมากๆ เลย ผมภูมิใจกับมัน ตอนนี้ตึกและรีสอร์ตของเราตั้งตระหง่านอย่างภาคภูมิใจทั่วสหรัฐและอีกหลายประเทศ ประเทศนี้ต้องการบางคนที่มีประวัติความสำเร็จทางธุรกิจเพื่อนำอเมริกากลับสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง” นี่คือตอนหนึ่งของหนังสือ

เด็ดกว่านั้นก็คือเขาอ้างว่าสามารถตรงไปหาประชาชนได้เลย เพราะไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือทางการเงินจากใคร (เพราะรวย) ไม่ต้องขอความเห็นชอบจากใครเมื่ออยากพูดหรือทำบางอย่าง ไม่ต้องแคร์แม้แต่สื่อ

เรื่องความรวยและความสำเร็จทางธุรกิจสามารถโน้มน้าวให้คนอเมริกันชนบทเชื่อทรัมป์อย่างจริงๆ จังๆ ว่าความรวยจะทำให้เขาบริหารประเทศได้อย่างอิสระไม่ต้องพึ่งพาทางการเงินจากใคร และการมีตึกชื่อทรัมป์อยู่ทั่วอเมริกาคือเครื่องรับประกันความสำเร็จในทางธุรกิจ ซึ่งน่าจะนำมาใช้กับการบริหารประเทศได้อย่างประสบความสำเร็จ (ฟังดูคุ้นๆ ว่านักการเมืองประชานิยมในประเทศไทยเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วนำมาใช้หาเสียงเหมือนกัน)

แต่ประชาชนที่เลือกทรัมป์ลืมคิดไปว่า การบริหารธุรกิจส่วนตัวที่ดูแลคนแค่หลักพันหรือหลักหมื่น แตกต่างจากการบริหารประเทศที่ต้องคำนึงถึงหลายมิติและซับซ้อนมากกว่าการทำธุรกิจ

ขณะเดียวกันการมีเงินมากหรือรวย ไม่ได้หมายความว่าเมื่อเข้าไปเป็นประธานาธิบดีหรือรัฐบาลแล้วจะสามารถทำอะไรได้ทุกอย่างโดยไม่ต้องฟังความเห็นใคร เพราะในระบอบประชาธิปไตยมีขั้นตอนของมัน มีทั้งธรรมเนียมปฏิบัติ และรัฐธรรมนูญบังคับอยู่ ถ้าทำไม่ถูกต้องจะเกิดแรงต้าน หากยังฝืนแรงต้าน จะนำไปสู่การแตกหักนองเลือด

พอบริหารประเทศไประยะหนึ่ง คนอเมริกันอาจจะเห็นเองว่าโดนทรัมป์ต้มจนเปื่อย และจะเห็นเองว่าอำนาจการปกครองไม่ได้คืนสู่มือประชาชน แต่มันจะคืนสู่พวกพ้องของทรัมป์อย่างที่เคยเป็นเสมอมา

และเขาจะติดหล่มในปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนหนักกว่าประธานาธิบดีคนอื่น