วงค์ ตาวัน : ประยุทธ์-ประวิตร-แป๊ะ

วงค์ ตาวัน

ปกติเมื่อพูดถึง “3 ป.” ที่เสมือนเป็นรหัสแห่งอำนาจ ย่อมหมายถึง “ป.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” “ป.ป้อม ประวิตร วงษ์สุวรรณ” และ “ป.ป๊อก อนุพงษ์ เผ่าจินดา” ซึ่งเป็นแกนหลักของ คสช. และคุมงานกระทรวงในรัฐบาลปัจจุบัน

จนกระทั่ง เมื่อจู่ๆ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เดินทางไปตรวจเยี่ยมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แบบแจ้งล่วงหน้าไม่กี่ชั่วโมง เมื่อวันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมา อีกทั้งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข้ามาเป็นนายกฯ ที่เดินทางมาตรวจเยี่ยมหน่วยงานนี้

โดยเดินทางมาพร้อมกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ผู้กำกับดูแลงานตำรวจ

ขณะที่ บิ๊กแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. นำทีม รอง ผบ.ตร. และนายตำรวจผู้ใหญ่จัดแถวต้อนรับอย่างพร้อมหน้า

“ภาพการเดินเคียงข้างกันระหว่างการตรวจเยี่ยม ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร บิ๊กป้อม และ บิ๊กแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ เข้าตำรา “3 ป.” ได้เช่นกัน!”

s__42049549-696x463

นักวิเคราะห์ริมรั้วสำนักปทุมวันมองว่า ภาพ “3 ป.” โดยมีบิ๊กแป๊ะ เป็น ป. ที่ 3 นี้ มีความหมายอย่างมาก มีความสำคัญอย่างยิ่งในสถานการณ์ช่วงนี้

“สังเกตได้ว่า เมื่อไม่นานมานี้ มีการปล่อยข่าวลืออ้างว่าจะเปลี่ยนตัว ผบ.ตร.”

จนทำให้ พล.อ.ประวิตร รองนายกฯ ดูงานตำรวจ ต้องออกมาปฏิเสธข่าว เมื่อช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยโต้ว่าไปลือกันอย่างไม่มีมูลความจริงในโซเชียลมีเดีย ยืนยันว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ยังเป็น ผบ.ตร. อยู่เป็นปกติดี

เพราะที่ผ่านมา ทำงานมีผลงานงานตลอด ไม่มีเรื่องความผิดอะไร จะไปย้ายได้อย่างไร

การออกมาการันตีเก้าอี้ ผบ.ตร. ของรองนายกฯ ความมั่นคง ช่วยให้ข่าวลือนี้สลายไปได้ทันที

“ครั้นมาต้นเดือนธันวาคม เมื่อได้นายกฯ ประยุทธ์ รุดมาตรวจเยี่ยมสำนักงานตำรวจแห่งชาติอีกแรง ทั้งที่ก่อนหน้านี้นายกฯ คนนี้ไม่เคยเฉียดมาที่หน่วยนี้เลย”

แต่มาเยี่ยมแบบนี้ โดยมาเดินเคียงข้างพร้อมกัน ทั้งประยุทธ์-ประวิตรและบิ๊กแป๊ะ

เป็นการเสริมความมั่นคงเหนียวแน่นให้เก้าอี้ ผบ.ตร. ที่บิ๊กแป๊ะนั่งอยู่ ดูมั่นคงไปอีกยาวนาน

s__42049543-696x464

ความที่เก้าอี้ ผบ.ตร. นั้น ไม่ว่าจะเป็นใครมานั่ง มักต้องเผชิญกับกระแสการเขย่าเก้าอี้อยู่เป็นประจำ ด้วยความที่ตำรวจนั้นเป็นองค์กรเปราะบาง ขาดความเป็นเอกภาพ ความสามัคคีภายในไม่ค่อยจะมี ทำให้ประวัติศาสตร์การปลด ผบ.ตร. ก่อนครบวาระ เป็นเรื่องที่เกิดเสมอๆ

ยิ่งมาในกรณีของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ซึ่งขึ้นมาดำรงตำแหน่งในขณะที่อายุอานามยังหนุ่มแน่น โดยกว่าจะเกษียณอายุก็โน่นเลย เดือนกันยายน ปี 2563

ถ้านับตั้งแต่เข้าดำรงตำแหน่ง เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2558 ถ้าอยู่ยาวจนครบวาระ เท่ากับจะอยู่นานถึง 5 ปี

“5 ปีเต็ม!! อย่างนี้แล้ว บรรดาตำรวจที่อยู่ในตำแหน่งถัดลงมา และมีโอกาสลุ้นเป็น ผบ.ตร. ก็คงไม่อาจทนนั่งรอเฉยๆ ได้!”

ดังนั้น การเลื่อยจึงเป็นไปได้เสมอ ที่มีจังหวะและโอกาส

ขณะเดียวกัน อีกประเด็นหนึ่ง สถานะของผู้นำตำรวจนั้น โดยภาระหน้าที่การงาน ถือว่าเป็นเรื่องยากมากๆ หากจะนั่งเป็น ผบ.ตร. นานถึง 5 ปี

เพราะงานของตำรวจเกี่ยวข้องทั้งการสืบจับปราบปรามผู้ร้าย การดำเนินคดีกับผู้มีสถานะทางสังคม ผู้มีอิทธิพล หรือผู้ที่มีเส้นสายเชื่อมโยงกับผู้มีอำนาจ

พร้อมจะเกิดความผิดพลาดหรือเกิดการขัดแย้งขัดใจกับใครต่อใครได้ตลอดเวลา

“การตัดสินใจของ ผบ.ตร. ในคดีใหญ่ๆ เรื่องใหญ่ๆ อาจนำมาซึ่งความยุ่งยากต่อตนเองได้เสมอๆ”

ดั้งนั้น ลำพังงานที่รับผิดชอบ ก็สามารถพลาดพลั้งหรือมีเรื่องได้ทุกเมื่อ

แล้วยังต้องมีปัญหาโดนมือดีแอบเลื่อยเก้าอี้อยู่อีก

ดังนั้น โอกาสที่ใครจะนั่งเก้าอี้นี้ยาวๆ ถือว่าค่อนข้างยาก เกินกว่า 2 ปีหรือ 3 ปี ก็เรียกว่าเต็มกลืนแล้ว

“เรื่องแบบนี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ เองก็รู้ตัวดี เพราะมีข่าวว่า มักพูดกับคนใกล้ชิดทำนองว่า คงทำหน้าที่นี้ไปถึงระยะเวลาที่เหมาะสมก็คงลาออกก่อนครบเกษียณแน่ๆ”

แต่เอาเป็นว่า เพิ่งนั่งมาได้ครบปี ก็โดนข่าวลือเขย่าเก้าอี้แล้ว

แน่นอนว่า ทีมงานของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ย่อมรู้ดีว่า ข่าวลือนี้เกิดจากใคร และใครที่กำลังเคลื่อนไหวหวังเสียบเก้าอี้ผู้นำตำรวจแทนบิ๊กแป๊ะ

เหตุที่มาโหมเอาในช่วงระยะนี้ เพราะเห็นเป็นจังหวะเหมาะ ที่บ้านเมืองกำลังอยู่ในช่วงรอยต่อพอดีนั่นเอง!

s__42065924-696x463

หากนับตั้งแต่รัฐบาล คสช. เข้ามาบริหารบ้านเมือง มีการแต่งตั้ง ผบ.ตร. ในยุคนี้มาแล้ว 2 ราย เริ่มจาก พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ขึ้นเป็น ผบ.ตร. เมื่อ 1 ตุลาคม 2557 เนื่องจากอายุราชการเหลือแค่ 1 ปี จึงครบวาระได้สบายๆ

ถัดมาคือ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ซึ่งตอนขึ้นชิงเก้าอี้ตัวนี้ มีคู่แข่งคือ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ซึ่งอาวุโสกว่า แถมเป็นเพื่อนสนิทกับ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา น้องชายของ พล.อ.ประยุทธ์

ข่าววงในชี้ว่า พล.อ.ประวิตร ซึ่งเป็นรองนายกฯ ดูงานตำรวจนั้น สนับสนุน พล.ต.อ.จักรทิพย์ แบบสุดตัว ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ ก็รู้จักมักคุ้นกับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ มายาวนาน แต่ต้องชั่งใจอย่างมาก เนื่องจาก พล.ต.อ.เอก นั้นก็มีผู้สนับสนุนเป็นคนใกล้ชิดนายกฯ เอง

“ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ กำลังตัดสินใจอย่างยากลำบากว่าจะเลือกใครแน่ แต่ก็ใกล้จะถึงวันเกษียณอายุของ พล.ต.อ.สมยศ ซึ่งจะต้องเร่งตั้งคนใหม่มาทดแทนแล้วนั้น”

จังหวะที่มีงานวันเกิดของ พล.อ.ประวิตร ในวันที่ 11 สิงหาคม ซึ่งจัดทำบุญอวยพรกันที่บ้านพัก และมีการเปิดวงสนทนาลับๆ 4 คนภายในห้อง

“ประกอบด้วย พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร พล.ต.อ.สมยศ และมี นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. บังเอิญนั่งอยู่ด้วย”

โดย พล.ต.อ.สมยศ เป็นผู้เปิดประเด็นขอความชัดเจนในตัว ผบ.ตร.คนใหม่ เนื่องจากใกล้วันต้องแต่งตั้งแล้ว ทำให้วงสนทนามีการเปรียบเทียบกันระหว่าง พล.ต.อ.เอก กับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ บังเอิญนายพรเพชร ที่มิได้เกี่ยวข้องโดยตรง ได้เล่าประวัติศาสตร์ความสำคัญของผู้นำตำรวจในอดีตเสริมขึ้นมาในวงสนทนา

“จึงทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจได้ในนาทีนั้นว่า ต้องเลือก ผบ.ตร. โดยเน้นที่ความมั่นคงเข้ากับสถานการณ์ มากกว่าเน้นอาวุโส!!”

เท่ากับว่า การเป็น ผบ.ตร. ของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ เกิดจากการตัดสินใจในบ้านพักของ พล.อ.ประวิตร ในระหว่างมีวันเกิดพอดี โดยคนที่ตัดสินใจเลือกก็คือ พล.อ.ประยุทธ์

ดังนั้น การเชื่อมั่นในตัว พล.ต.อ.จักรทิพย์ ในสายตาของ พล.อ.ประยุทธ์ จึงมีมาตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2558

เท่ากับว่าถึงวันนี้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

จึงเกิดภาพ “3 ป.” ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในสถานการณ์ที่กำลังเกิดการเขย่าเก้าอี้อยู่พอดี!