อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์ : รถไฟขบวนนั้นของเกาหลีเหนือ

อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์

เมื่อประธานาธิบดีเกาหลีเหนือ คิม จอง อึน (Kim Jong Un) ออกเดินทางมาสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามในครั้งนี้ นับเป็นการพบปะกันครั้งที่ 2 ระหว่างประธานาธิบดีคิมกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา จนมองเป็นหมายเหตุด้วยความสงสัยว่า ความปกติของภูมิภาคจะเกิดขึ้นอย่างไร

เมื่อมีการประชุมที่สาธารณรัฐเกาหลีเมื่อปีที่แล้ว ผู้นำเกาหลีเหนือซึ่งครั้งหนึ่งเหมือนเป็นผู้นำอยู่สันโดษ เปลี่ยนเป็นแขกผู้แสวงหาในภูมิภาคเอเชีย เป็นเพราะจุดที่รถไฟจอดพักแต่ละที่จากปักกิ่งถึงสิงคโปร์คราวนั้นและที่ฮานอยในคราวนี้ ประธานาธิบดีคิมซึ่งอายุเพียง 35 ปีได้สร้างความสัมพันธ์ใหม่ ด้วยการเป็นผู้นำโลกของตลาดเกิดใหม่แห่งสุดท้าย

การเปลี่ยนเกาหลีเหนือจากชาติที่นานาชาติเหยียดหยามมาเป็นแขกรับเชิญที่เคารพของชาติต่างๆ นับเป็นข้อพิสูจน์ความสำเร็จที่ประธานาธิบดีคิมที่อยู่ในเกมแข่งขันทางอำนาจจากผู้นำทหารและลดคู่แข่งขันของตนหลังจากที่บิดาของเขาเสียชีวิตในปี 2011

อีกทั้งยังให้ภาพความปรารถนาระยะยาวในการฟื้นฟูการลื่นไหลทางเศรษฐกิจที่เกิดจากความอดอยาก การขยายกำลังทหารและการวางแผนจากรัฐภายใต้การปกครองของพ่อและปู่ของเขา

 

ความพยายามของคิม

มากกว่า 7 ปีที่ผ่านมา ประธานาธิบดีซึ่งเรียนจบจากสวิตเซอร์แลนด์ บ่ายหน้าเกาหลีเหนือจากนโยบายของพ่อของเขาคือ ทหารมาก่อน (military first) ที่มุ่งเน้นการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ แล้วค่อยทำเรื่องเศรษฐกิจ พอหลังจากเกาหลีเหนือประสบความสำเร็จในการทดลองจรวดนำวิถีข้ามทวีป (Intercontinental ballistic missile ในปี 2017 ประธานาธิบดีคิมประกาศว่า โครงการอาวุธเสร็จสิ้นแล้ว และเริ่มต้นพูดคุยกับประธานาธิบดีทรัมป์และประกาศยุทธศาสตร์ใหม่คือ การเร่งพัฒนาเศรษฐกิจ

การเคลื่อนไหวเพื่อยุติการคุกคามต่างๆ ของสงครามและปูทางการพบปะครั้งประวัติศาสตร์กับสหรัฐอเมริกาในเดือนมิถุนายน 2018 ยังเปิดโลกใหม่ของโอกาสที่เป็นไปได้ของนักลงทุนทั้งจากกรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลีจนถึงสิงคโปร์

ช่วยให้ประธานาธิบดีคิมดำเนินการที่ผ่อนคลายนโยบายแซงก์ชั่น (sanction) ระหว่างประเทศของประธานาธิบดีทรัมป์ต่อโครงการด้านอาวุธของคิม

ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีคิมสกัดกั้นการแซงก์ชั่นต่างๆ เช่น ห้ามการเดินทางของบรรดาเจ้าหน้าที่ ไปจนถึงมาตรการเหนี่ยวรั้งการนำเข้าพลังงานเข้าเกาหลีเหนือ เกาหลีเหนืออยู่ในอันดับประเทศที่ยากจนที่สุด และการแซงก์ชั่นต่างๆ เชื่อว่าเป็นสาเหตุของการถดถอยทางเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษมาจนถึงปี 2017

ประธานาธิบดีคิมออกเดินทางวันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ตอนบ่ายด้วยรถไฟซึ่งจะนำเขาผ่านสาธารณรัฐประชาชนจีนไปสู่สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ประธานาธิบดีคิมเดินทางต่างประเทศ 5 ครั้งในปีที่แล้วมากกว่าผู้นำเกาหลีเหนือคนไหนๆ ในรอบ 2 ทศวรรษ

คิมมักเข้าเยี่ยมชมเขตอุตสาหกรรม มีรายงานเกี่ยวกับทริปประธานาธิบดีคิมว่า เขาจะทำเช่นนั้นเหมือนกับเมื่อไปเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามก่อนการประชุมสุดยอด

อันเป็นโอกาสให้เขาใกล้ชิดกับรัฐสังคมนิยมซึ่งรุ่งเรืองขึ้นหลังจากลดความเป็นปรปักษ์กับสหรัฐอเมริกาดั่งเช่นสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม

เจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือมีที่หยุดจอดใกล้โรงงาน Samsung Electronics Co” s smartphone และโรงงานต่างๆ ของหลายประเทศในเวียดนาม

เขาอาจจะเยี่ยมชมโรงงานต่างๆ ของสาธารณรัฐเกาหลี ในขณะที่สาธารณรัฐเกาหลีเป็นหุ้นส่วนลงทุนใหญ่อันดับ 2 ในเวียดนาม

ผู้นำเกาหลีเหนือไม่ได้เยือนเวียดนามตั้งแต่ปู่ของประธานาธิบดีคิม Kim IL Sung ในปี 1964

 

เส้นทางที่ยากลำบาก

ประธานาธิบดีคิมไม่ได้มั่นคงมากพอในการควบคุมเกาหลีเหนือโดยแสดงความอ่อนแอ ระบอบคิมใช้การกวาดล้างอำมหิตและลงโทษประหาร รวมทั้งฆ่าลุงของเขา Jang Song Thaet ซึ่งเคยเป็นรองประธานาธิบดี รวมทั้งสังหารพี่ชายต่างมารดา Kim Jong Nam

การควบรวมอำนาจเปิดโอกาสให้มีการปฏิรูปเศรษฐกิจและปฏิรูปการเมืองซึ่งเดิมทีเกือบเป็นไปไม่ได้ เพราะความใจแคบสำหรับรัฐที่มีพรรคการเมืองเดียว อีกทั้งอนุญาตให้ประธานาธิบดีคิมรับมือกับผู้นำของประเทศคือ สหรัฐอเมริกาที่เกาหลีเหนือโฆษณาชวนเชื่อมาหลายชั่วอายุคนว่าเป็นต้นตอของปัญหาทั้งหมด

แม้ปัจจุบัน การกวาดล้างยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง ประธานาธิบดีคิมขับไล่ฝ่ายตรงข้ามออกนอกประเทศ จำคุกหรือสังหารสมาชิกราว 50 คนจาก 70 คนของผู้นำทางการเมือง ความยั่งยืนของประธานาธิบดีคิมได้รับการคุ้มครองระดับสถาบันทางการเมือง ในเวลาเดียวกันกับที่เขาก็ควบรวมอำนาจได้ดี

ตอนนี้ประธานาธิบดีคิมต้องการแสดงให้ผู้นำทั้งหลายที่เปียงยาง (Pyongyang) เห็นว่า ความพยายามผูกพันต่างๆ สามารถนำโอกาสทางเศรษฐกิจได้ โดยไม่ต้องเสียสละด้านพลังอำนาจนิวเคลียร์

ประธานาธิบดีคิมต้องการให้ประเทศเกาหลีเหนือมีความมั่งคั่งมากกว่าเดิม เขาต้องการการพัฒนาเศรษฐกิจ แม้ไม่ต้องยกเลิกอาวุธนิวเคลียร์ ทั้งหมดเขายังสามารถรักษาเศรษฐกิจระดับพอเพียงได้

ถึงรถไฟขบวนนั้นจะวิ่งช้า และเดินเครื่องด้านพลังงานฟอสซิลประเภทถ่านหิน แต่รถไฟขบวนนั้นกำลังปรับเปลี่ยนสัมพันธภาพต่างๆ ในเอเชียตะวันออก รวมทั้งของโลก

โลกกำลังจับตามองรถไฟขบวนนั้น