ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 8 - 14 มีนาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | จ๋าจ๊ะ วรรณคดี |
ผู้เขียน | ญาดา อารัมภีร |
เผยแพร่ |
สมัยยังเด็กคุณครูให้ท่องบทอาขยานตามที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดไว้ในแบบเรียนภาษาไทย
นอกจากจะช่วยให้อ่านหนังสือแตกแล้ว
ยังทำให้คุ้นเคยกับจังหวะจะโคนที่เกิดจากสัมผัสคล้องจองและจำนวนคำที่แน่นอนในแต่ละวรรคของบทอาขยานไปโดยอัตโนมัติ
สิ่งเหล่านี้ช่วยให้จำบทอาขยานได้ง่าย และจำได้แม่นยำตั้งแต่เด็กจนแก่
มีอาขยานอยู่สองบทที่เห็นปุ๊บก็จำได้ปั๊บ เพราะจำนวนคำและสัมผัสช่างลงตัว ทั้งความหมายก็โดนใจ ทำให้ตระหนักถึงความเก่งกาจห้าวหาญของหญิงไทยในอดีตที่ต่อกรกับกองทัพพม่าสุดชีวิตเมื่อครั้งศึกถลาง พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ทรงพรรณนาคำเริงสดุดี สตรีไทยนักรบ ไว้ในหนังสือเรื่อง นารีเรืองนาม ดังนี้
เปลก็ไกวดาบก็แกว่งแข็งหรือไม่
ไม่อวดหยิ่งหญิงไทยมิใช่ชั่ว
ไหนไถถากกรากกรำไหนทำครัว
ใช่รู้จักแต่จะยั่วผัวเมื่อไร
แรงเหมือนมดอดเหมือนกากล้าเหมือนหญิง
นี่จะจริงเหมือนว่าหรือหาไม่
เมืองถลางปางจะจอดรอดเพราะใคร
เพราะหญิงไทยไล่ฆ่าพม่าแพ้
ตัวอย่างข้างต้นสะท้อนภาพของหญิงไทยที่ไม่ธรรมดา ใจสู้ ไม่อู้งาน สวมหมวกหลายใบ ทำหลายหน้าที่ แต่ละบทบาทก็อาศัยความสามารถและความชำนิชำนาญต่างๆ กันไป เป็นทั้งแม่ ทหาร ชาวนา แม่ครัว และเมีย
เวลาปกติไกวเปลเลี้ยงลูก คราวจำเป็นยามศึกสงครามก็วางมือจากลูกมาจับดาบต่อสู้ข้าศึกได้
ในแต่ละวันยังต้องลำบากตรากตรำทำไร่ไถนา
ถึงเวลาก็เข้าครัวเตรียมข้าวปลาอาหาร
เรื่องบนเตียงก็ต้องพร้อมไม่บกพร่อง
งานเยอะขนาดนี้ แม้เรี่ยวแรงน้อยนักก็สู้ไหวเพราะใจกล้า
ดังที่เสด็จในกรมทรงเอาแรงน้อยนิดของ “มดตัวกระจ้อยร่อย” มาเปรียบเทียบ ต่อให้ผู้หญิงมีแรงเหมือนมดก็ยังสามารถเอาชนะกองทัพพม่าได้อย่างราบคาบ
เห็นภาพพม่าหนีตายกันอลหม่านในศึกถลาง
ดังข้อความว่า เมืองถลางปางจะจอดรอดเพราะใคร เพราะหญิงไทยไล่ฆ่าพม่าแพ้
วีรกรรมสาวเมืองย่าโมสู้ศึกลาว “เจ้าอนุวงศ์” ในแบบเรียนภาษาไทยสมัยผู้เขียนเรียนชั้นมัธยมปลาย ถ่ายทอดด้วย “ภุชงคประยาตฉันท์ 12” ที่แสนจะคึกคักกระฉับกระเฉงว่องไว มองเห็นการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ดังที่พระยาอุปกิตศิลปสารบรรยายไว้ในวรรณคดีเรื่อง ฉันท์ยอเกียรติชาวนครราชสีมา ว่า
มนัสไทย / ประณตไท้ นรินทร์ไทย / มิท้อถอน
มิผูกรัก / มิภักดิ์บร มิพึ่งบา / รมีบุญ
ถลันจ้วง / ทะลวงจ้ำ บุรุษนำ / อนงค์หนุน
บุรุษรุก / อนงค์รุน ประจญร่วม / ประจัญบาน
อนงค์เพศ / มนัสพี- รชาติศรี / ทหารชาญ
มิได้ดาบ / ก็คว้าขวาน มิได้หอก / ก็คว้าหลาว
มิได้มีด / ก็เอาไม้ กระบองใหญ่ / กระบองยาว
กระหน่ำฟาด / พิฆาตลาว เตลิดแล่น / ณ แดนดง
ผิอยู่เหย้า / สิอรชร ฤทัยอ่อน / ระทวยองค์
ผิยามยุทธ์ / สิยรรยง เผยอยศ / อนงค์สรรพ์
นิกรลาว / มลายชน- มเกลื่อนกล่น /อนาถครัน
ประมาณศพ / ก็สองพัน พินาศพ่าย / กระจายไป
ตัวอย่างที่ยกมานี้ถ้าอ่านในใจจะไร้รสชาติ ถ้าอ่านออกเสียงตามจังหวะที่แบ่งไว้ให้ จะรู้สึกถึงจังหวะที่รุกเร้าเข้ากับการต่อสู้ สื่อถึงความเข้มแข็งองอาจของสตรีที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับบุรุษ ตระหนักถึงความอ่อนโยนมิใช่อ่อนแอ เป็นความอ่อนโยนที่ผสมผสานกับความเป็นนักสู้อย่างลงตัว ดังข้อความว่า
ผิอยู่เหย้าสิอรชร ฤทัยอ่อนระทวยองค์
ผิยามยุทธ์สิยรรยง เผยอยศอนงค์สรรพ์
เลือดนักสู้มิได้มีเพียงหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาๆ เท่านั้น แต่ยังมีเต็มดวงพระราชหฤทัยของสมเด็จพระศรีสุริโยทัย พระอัครมเหสี ของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา แม้จะทรงรู้ดีว่าไม่มีทางสู้ แต่ก็ทรงสู้ตามวิถีทางของพระองค์
ดังที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบรรยายไว้ใน โคลงภาพพระราชพงศาวดาร* รูปที่ 10 แผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ภาพพระสุริโยไทยขาดคอช้าง (* อักขรวิธีตามต้นฉบับเดิม)
รัชกาลที่ 5 ทรงเริ่มด้วยการกล่าวถึงบุเรงนอง กษัตริย์พม่ายกทัพใหญ่มอญพม่ามาประชิดกรุงศรีอยุธยา
บุเรงนองนามราชเจ้า จอมรา มัญเฮย
ยกพยุหแสนยา ยิ่งแกล้ว
มอญม่านประมวลมา สามสิบ หมื่นแฮ
ถึงอยุธเยศแล้ว หยุดใกล้นครา
จอมทัพไทยในครั้งกระนั้น คือ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ หลังจากทรงเตรียมการพร้อมแล้วก็ทรงยกทัพไทยไปหยั่งกำลังข้าศึก สมเด็จพระศรีสุริโยทัยทรงปลอมพระองค์เป็นชายทรงเครื่องรบครบครัน ประทับช้างแฝงไปในขบวนโดยไม่มีผู้ใดรู้เห็น
บังอรอรรคเรศผู้ พิศไมย ท่านนา
นามพระสุริโยไทย ออกอ้าง
ทรงเครื่องยุทธพิไชย เช่นอุป ราชแฮ
เถลิงคชาธรคว้าง ควบเข้าขบวนไคล
ปรากฏว่าช้างทรงของจอมทัพไทยเผชิญหน้าในระยะประชิดกับช้างทรงของพระเจ้าแปรและเสียทีถอยหนี ฉิวเฉียดจะถูกพระเจ้าแปรไล่ตามทัน
สารทรงซวดเซผัน หลังแล่น เตลิดแฮ
เตลงขับคชไล่ใกล้ หวิดท้ายคชาธาร
ทันใดนั้นสมเด็จพระศรีสุริโยทัยก็ทรงไสช้างเข้าขวางอย่างรวดเร็ว เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันทีโดยไม่มีใครคาดคิด
นงคราญองค์เอกแก้ว กษัตริย์
มานมนัสกัตเวที ยิ่งล้ำ
เกรงพระราชสามี มลายพระ ชนม์เฮย
ขับคเชนทรเข่นค้ำ สอึกสู้ดัษกร
ผลก็คือคมง้าวพระเจ้าแปรฟันฉับลงมาต้องพระวรกายขาดสะพายแล่ง ซบสิ้นพระชนม์บนคอช้าง การสละพระองค์เองเพื่อรักษาพระชนม์ชีพของพระสวามีผู้เป็นพระประมุขของชาติ เป็นที่ยกย่องสรรเสริญมาจนทุกวันนี้
ขุนมอญร่อนง้าวฟาด ฉาดฉะ
ขาดแล่งตราบอุระ หรุบดิ้น
โอรสรีบกันพระ ศพสู่ นครแฮ
สูญชีพไป่สูญสิ้น พจน์ผู้สรรเสริญ
หญิงไทยในอดีตจึงมิใช่เกิดมาเพื่อเป็นลูก เป็นเมีย และเป็นแม่เท่านั้น
แต่เป็นได้ทุกอย่างเคียงข้างชายไทยอย่างน่าภาคภูมิใจ
ความแข็งแกร่งจึงมิอาจวัดเพียงสรีระที่บ่งบอกเพศ
แต่ยังรวมไปถึงจิตใจและการกระทำอีกด้วย
ดังที่กวีชายทั้งสามล้วนเห็นพ้องต้องกันและถ่ายทอดไว้ในวรรณคดีสามเรื่องข้างต้น