ทวีปที่สาบสูญ : เราต่างเดินดินกินข้าวเหมือนกัน โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

นี่มันเวรกรรมแต่ชาติปางไหน ทำให้ถึงจะพยายามหนีไปไกลสุดหล้าฟ้าเขียว สุดท้าย…ฉันก็วนกลับมาพบหน้าคนอย่างอัมพร

คนขี้จุขี้ล่าย ปั้นหน้าแสดงลีลาได้สารพัดอย่าง

คิดผิดคิดถูก อีพี่…มึงจะอยู่กับคนอย่างนี้ไปจริงๆ หรือ

ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้จู่โจมเข้ามา ดั่งว่ามีโคลนเลนอยู่เต็มฝั่งพื้น รู้ว่าสองเท้าเหยียบยืน แต่ไม่มีความมั่นใจเลย

แท้แล้ว สิ้นไร้ไม้ตอกถึงเพียงนี้ ไปไหนก็ไม่พ้น เอาตัวเองไม่รอด สุดท้ายต้องมาจอดอยู่กับคนน่าชัง

มึงจะหวังสวรรค์วิมานอันใด อีพี่

“อ้าว! เป็นอะไรอีก ทำหน้าอย่างกะหมาเหงา” ยินเสียงอัมพรอยู่แว่วๆ “จะซื้ออะไรก็บอกมา จะพาไป”

ฉันเดินตามอัมพรไปอย่างสิ้นไร้ความรู้สึก…จริงๆ ไม่ใช่ไม่รู้สึก แต่เพราะกำลังรู้สึกมากเกินไป

ความหดหู่และโศกเศร้าสาดซัดเข้ามาอีกครั้ง ทั้งๆ ที่เคยคิดว่ามันเหือดหายไป

เสียงอะไรสักอย่างดังกังวานขึ้นเป็นจังหวะ ประกอบกับระรัวดนตรีแว่วมาจากด้านใน คนที่ยืนซื้อข้าวของอยู่พลอยพากันหันชะเง้อ แม่ค้าร้านขายมะม่วงน้ำปลาหวานพูดขึ้นว่า “แน่ะ มาแล้ว” สักพัก ก็เห็นคนข้ามถนนตรงไปสมทบที่ยืนมุงกันอยู่

อัมพรยืดคอทันควัน คว้าข้อแขนฉัน

“อีพี่ ไปดูกัน”

“ดูอะไร”

“เออน่า มาสิ”

ไม่พูดเปล่า อัมพรออกแรงรั้งจนต้องย่ำเท้าตาม ยิ่งใกล้ ยิ่งยินเสียงเคาะดังชัดขึ้น และแล้วชายหญิงคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสายตา

คู่ผัวเมียตาบอด ผู้หญิงถือไม้เท้ากับกระป๋องนมหนึ่งใบ เขย่าของในมือให้ยินเสียงเหรียญดังกรุ๋งกริ๋งๆ แต่ก็เข้าจังหวะ ขณะผู้ผัวมีแท่งสี่เหลี่ยมเล็กๆ อีกอัน ยกจรดปากครั้งใด ก็ปล่อยเสียงแปลกหูออกมา

แต่ที่ไพเราะยิ่งกว่าคือเสียงจากนางเมีย

“…เมื่อสุริยนย่ำสนธยา หมู่นกกาก็บินมาสู่รัง ให้มาคิดถึงท้องทุ่งนาเสียจัง ป่านฉะนี้คงคอยหวัง เมื่อไหร่จะกลับบ้านมา…” (1)

นั่นเป็นเสียงชนิดไหนกัน ฉันอดตะลึงไม่ได้ นางคนตาเสียกลับมีเสียงใสอย่างแก้วเจียระไน…ฉันไม่เคยได้ยินหรอก แต่หนังสือนิยายเคยเปรียบไว้เช่นนั้น มันคงเป็นเช่นนั้น…ที่ฉันได้ยินอยู่

“…มาอยู่เมืองกรุง ใจก็มุ่งแต่อยากจะดัง ด้วยความหวังอยากจะเป็นดารา…ลำบากลำบนก็จะทนก้มหน้า ก่อนจะจากบ้านมา เพื่อนมันว่าให้อาย…”

เหลียวดูอัมพร ก้มหน้าก้มตา คล้ายจะค้นหาอะไรในตัวอยู่วุ่นวาย

“…ก่อนจากบ้านมา เพื่อนมันว่าให้ช้ำทรวง ไปเป็นนักร้องให้เขาล้วง มันเจ็บในทรวงไม่หาย…”

แล้วก็เงยหน้ามาสะกิด

“อีพี่ มึงมีสตางค์เหรียญมั้ย”

ฉันจกมือเข้าในกระเป๋ากางเกงตัวเอง

“ไม่มี”

“ใบเขียวล่ะ”

ฉันหยุดชะงัก

“…พอมี” ตอบไม่เต็มคำ

“กูขอยืมหน่อย”

ฉันกุมม้วนที่รัดหนังว้องไว้ทันที อัมพรตาไวเช่นทุกครั้ง

“มึงไม่ต้องกลัวอีพี่ กูไม่เอาเปล่าๆ หรอก แค่ยืม เดี๋ยวจะคืนให้”

“มีใบเดียว”

“เออ เอาใบเดียวนั่นแหละ”

ไม่เต็มใจ แต่ก็ปากไม่ออก ฉันบิดตัวหันข้างให้อัมพร จกเอาม้วนสตางค์ที่รักษาไว้ออกมา รีบดึงแผ่นสีเขียวออกมาหนึ่งใบ

“เอ้า” ส่งให้น้องสาวของอีพี่สร้อยสาย

“ขอบใจ” อัมพรรีบรับ

“ขอเพลงหน่อยสิ”

อัมพรหย่อนใบสีเขียวลงในกระป๋อง และโน้มตัวพูดกับหญิงตาดีว่า “ใบซาวเน้อ”

หญิงนั้นยิ้มออกมา แม้จะรู้ว่านางคงมองไม่เห็น แต่อัมพรก็ยิ้มตอบ

“เพลงอะไร” นางตาบอดถาม

“เพลงเดิม” อัมพรว่า

“…อย่าเหิมอย่าเห่อทะเยอทะยาน อย่าคิดต้องการเที่ยวทำตัวเป็นหัวเรือใหญ่…ถึงระบือมีชื่อก้องฟ้า แล้วสักคราต้องร่วงลงได้…” (2)

เสียงดนตรีคึกคักขึ้น ทั้งๆ ที่มีเพียงหีบเพลงปากกับกระป๋องใส่เหรียญ อัมพรตวัดแขนขึ้นโอบคอฉัน ดึงให้เข้าชิดตัว

“ฟังสิอีพี่”

เป็นน้ำเสียงที่ฉันไม่เคยฟัง หมายถึงเสียงของอัมพร

“…อย่าคิดว่าตัวเลิศล้ำ อย่าตามใจตัวเป็นใหญ่ พลาดพลั้งร่วงมาเมื่อไหร่ จะไม่มีใครเอาใจปรนเปรอ…”

“ม่วนจริงๆ” อัมพรพูดอีก และมีตาลอยเคลิ้มฝัน

ฉันมองอัมพรสลับกับผัวเมียตาบอด นางผู้หญิงยืนขับร้องอย่างตั้งอกตั้งใจ คนมุงกันเข้ามาอีกเรื่อยๆ เสียงจอแจรอบข้างคล้ายจะลดเบาลง ยิ่งนาน ยิ่งส่งให้เสียงเพลงกังวานแว่วหวาน

“…อย่าอวดอย่าโอ้ว่าโตหรือดัง หากแม้มีทาง ชื่อเสียงโด่งดังอย่าได้เหิมเห่อ คนที่ดังกว่าเรายังมี คนที่ดีกว่าเรายังเกร่อ…”

อัมพรร้องตาม

“…อย่าท้าเมื่อเห็นคนล้ม อย่าสมน้ำหน้าคนเซ่อ เคราะห์ร้ายคราวเราเล่าเออ เราอาจจะเจอกับความเจ็บใจ…”

ท่อนท้าย เสียงสูงขึ้นว่า…เจ้บ-บ-บ-ใจ…

ฉันรู้สึกหวามวูบอยู่ในท้องน้อย อยู่ดีๆ ใจที่เกลียดชังอัมพร เหมือนมีลมพัดผ่านก้อนเมฆหนาครึ้ม เป่าให้บางส่วนกระจายหายไป

เพราะการที่อัมพรเหลียวมายิ้มใส่ตาฉันหรือเปล่า

ปากยังร้องคลอไป

“คนถึงมีความชั่วเจ็ดหน ความดีของคนมีน้อยเมื่อไหร่ คนล้มแล้วอาจจะฟื้น คนยืนอาจล้มก็ได้…”

“โอย มันร้องเพลงม่วนจริงๆ”

อัมพรยังไม่ปล่อยข้อมือฉัน แม้จะเดินห่างออกมาจากนักดนตรีวณิพกคู่นั้นแล้ว และน้องของอีพี่สร้อยสาย พาลัดเลาะไปอีกซอกซอยหนึ่ง

“เธอรู้จักเขาหรือ”

“เปล่า แค่รู้ว่ามาประจำแหละ แต่ขอเพลงทีไรก็ร้องให้”

ฉันไม่ปฏิเสธเลยว่า นางคนตาบอดช่างมีน้ำเสียงไพเราะเหลือเกิน

“ทำไมถึงขอให้เขาร้องเพลงล่ะ”

“เอ๊า อีพี่” อัมพรมีน้ำเสียงอารมณ์ดีกว่าทุกครั้ง “มันร้องม่วน กูก็อยากฟังเพลงที่ชอบ ให้สตางค์มันไปตั้งซาวบาท มึงไม่เห็นรึ”

“เห็น” ฉันกลืนน้ำลาย

ใบเขียวของฉัน อัมพรจะคืนมันมาหรือ

“มึงไม่ต้องระแวง” อัมพรพูดอย่างอ่านใจออก “กูไม่โกงมึงหรอกน่า กระเป๋าสตางค์มีแต่ใบร้อย เชื่อกูสิ”

ฉันไม่รู้จะตอบคำใด จากนั้นก็เดินตามอัมพรไปเงียบๆ จนถึงหน้าร้านขายของชำแห่งหนึ่ง

“เอ้า ถึงแล้ว มึงจะเอาอะไรก็บอกเขา”

บอกแล้ว อัมพรก็ยังฮัมเพลงเดิมอีกเบาๆ

“…ใช่ดังแล้วลืมพวกพ้อง ใช่มองเห็นคนเป็นไพร่ หากล้มทั้งยืนเมื่อไหร่ จะต้องอับอายแทบซุกแผ่นดิน…”

“เอาสมุดเล่มหนึ่ง กับดินสอสองแท่ง” ฉันบอกกับคนในร้าน

เจ้าของร้านเปิดตู้ หยิบเอาของส่งให้ บอกราคา ฉันรีบควักกระเป๋าจ่าย ใจฟูขึ้นเมื่อมีของที่ต้องการอยู่ในอุ้งมือ

“…อ้อ มียางลบด้วยมั้ย กับมีดพับอีกอัน จะเอาไว้เหลาดินสอ” ฉันนึกได้

“มี” คนขายหยิบของเพิ่มให้

ฉันรับยางลบที่มีกลิ่นหอมหวานๆ มา พร้อมกับมีดพับอันเล็กสีแดง มันช่างน่ารักเหลือเกิน ชุดเครื่องเขียนของฉัน

“ทำไมไม่เอาเป็นปากกา อีพี่” อัมพรถาม

“ดินสอนี่แหละดี ไม่เปลือง ผิดก็ลบได้” ฉันตอบ

อัมพรเดินเข้าไปใกล้ตู้กระจก ชี้มือ

“เอาแบบนั้นมาอันหนึ่ง สีแดงนั่นด้วย”

คนขายเดินมาหยิบของให้ อัมพรล้วงกระเป๋าเสื้อ ชักใบแดงออกมา

ฉันมองหน้าเพื่อนร่วมงานเก่าที่กลับมาพบกันใหม่

ได้สตางค์ทอนแล้ว อัมพรเอี้ยวตัวมา ยัดปากกาปลอกสีน้ำเงินกับปลอกสีแดงใส่ในมือ ใบเขียวอีกใบ

“เอาไป”

“อะไร” ฉันก้มดูของ

“กูซื้อให้” อัมพรกดฝ่ามือลงมาหนักๆ “อยากเขียนอะไรก็เขียนเลย ไม่มีใครห้ามมึงแล้ว”

เหนือความคาดหมายจนพูดคำใดไม่ออก ฉันไม่อยากได้ของอัมพรนอกเสียจากสตางค์ที่ยืมไว้ แต่แล้วก็ให้นึกละอายใจ หรือว่า…ฉันเองจะดูถูกน้ำใจอัมพรเกินไป

“กูชอบมันร้องเพลงจริงๆ” อัมพรโอบแขนรอบไหล่ฉันอีก “นั่นเพลงโปรดกูเลยนะ มึงเคยฟังหรือเปล่า”

เพลงแรกนั้นฉันเคยได้ยิน แต่เพลงที่สองเพิ่งเคยรู้จักหนนี้

บอกอัมพรไปตามนั้น

“มันเหมือนชีวิตคนอย่างเรา มึงว่ามั้ย” อัมพรพูดอีก รั้งตัวฉันออกมาจากร้าน “ใครที่คิดว่าตัวเองอยู่สูงส่งนัก สักวันเฮอะ มันต้องได้ลงมาคลุกขี้ดินบ้างล่ะ…ส่วนกูกับมึง เราต้องไม่ยอมแพ้นะอีพี่ ถ้าวันหนึ่งได้ดี จะได้หัวเราะเยาะพวกมันดังๆ”

“…หัวเราะเยาะใคร” ฉันยังไม่เข้าใจอัมพรนัก

“ใครก็ตามแหละ ที่มันทำเลวกับมึงกับกูไง” อัมพรตอบ

แล้วร้องเพลงออกมาอีก

“…อย่าเย่ออย่าหยิ่งอย่าทำชิงชัง อย่าคิดว่าดังแล้วไม่เดินจะเหินเมฆิน ดังก็มีแต่คนอุ้มโอ๋ โซแล้วทรามกลับถูกหยามหมิ่น…”

ฉันเห็นผู้คนพลุกพล่านอีกครั้ง มีรถเข็นขายของกินเรียงรายหลายเจ้าข้างหน้า

“…คนดังคนดับอับจน ก็คนเหมือนกันทั้งสิ้น อย่ามัวแบ่งชั้นกั้นถิ่น เราต่างเดินดินกินข้าวเหมือนกัน…”

(1) เพลง นักร้องบ้านนอก ของ พุ่มพวง ดวงจันทร์

(2) เพลง ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหน ของ พุ่มพวง ดวงจันทร์