SearchSri : หงส์แดงกับทางที่ต้องเลือก?

ศึก “พรีเมียร์ลีก” อังกฤษ เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของการลุ้นแชมป์ สถานการณ์เวลานี้กลับมาตื่นเต้นสูสีอีกรอบเมื่อ “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” ไล่บี้จนแซง “ลิเวอร์พูล” ขึ้นมาได้ 1 แต้ม ทั้งที่ช่วงหนึ่งเคยตามอยู่ห่างสุดถึง 10 คะแนน

ปัญหาของหงส์แดงเวลานี้คือการขาดความสม่ำเสมอ ช่วงหลังๆ ถึงจะไม่แพ้ แต่ก็เสมอมากพอๆ กับชนะ ซึ่งหมายถึงการทำแต้มหายไปคราวละ 2 แต้ม

ขณะที่เรือใบสีฟ้า แม้ในแมตช์ที่ทุลักทุเล ก็ยังอาศัยทั้งประสบการณ์และดวงเอาตัวรอดมาได้ด้วยชัยชนะแบบ 1-0 เก็บ 3 แต้มเต็มเม็ดเต็มหน่วยในช่วงเวลาสำคัญ

 

เหล่า “เดอะ ค็อป” อาจมองว่าผลงานน่าผิดหวังในช่วงหลังเป็นเรื่องของจังหวะเวลา เนื่องจากนักเตะตัวหลักหลายคน โดยเฉพาะกองหลังที่กำลังดีวันดีคืนอย่าง “เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โจ โกเมซ” หรือตัวเก๋าอย่าง “เดยาน ลอฟเรน” มาเจ็บพร้อมๆ กันอยู่ช่วงหนึ่งทำให้มีตัวเลือกไม่มาก และกุนซือ “เยอร์เก้น คล็อปป์” ต้องตัดสินใจโยกกองกลาง “ฟาบินโญ่” มายืนเป็นแนวรับแทน

ขณะที่เกมบุกก็ขาดตัวสร้างสรรค์เกมอย่าง “อเล็กซ์ ออกซ์เลด แชมเบอร์เลน” ซึ่งเจ็บยาวถึง 11 เดือนตั้งแต่เมษายนปีที่แล้ว ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีกำหนดกลับมาลงสนามแน่ชัด

อย่างไรก็ตาม แม้จะทราบดีถึงปัญหาเหล่านี้ แต่หงส์แดงก็ไม่ได้เสริมทีมในช่วงเปิดตลาดเดือนมกราคม แถมยังส่งกองหลังสำรองอย่าง “นาธาเนียล ไคลน์” ให้บอร์นมัธเสียอีก

แม้คล็อปป์และผู้บริหารทีมมองว่า การใช้ผู้เล่นชุดที่มีอยู่โยกสลับตำแหน่งกันสามารถแก้ปัญหารอเวลาให้นักเตะที่เจ็บกลับมาได้ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า การใช้ผู้เล่นชุดเดิมซ้ำไปซ้ำมาย่อมมีผลกับสภาพความฟิต

ยิ่งเมื่อกองหน้าสามประสานซึ่งเป็นอาวุธหลักของหงส์แดงใน 2-3 ฤดูกาลหลังอย่าง “โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่” และ “ซาดิโอ มาเน่” เล่นไม่ออก ขาดความเฉียบคมอย่างที่เคย ยิ่งทำให้เป็นจุดบอดมากขึ้น

 

ผิดกับแมนฯ ซิตี้ ซึ่งถึงจะมีปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บบ้าง ฟอร์มตกบ้าง แต่ตัวจริงตัวสำรองของเรือใบก็มีมาตรฐานสูสีกัน ทำให้ “เป๊ป กวาร์ดิโอล่า” ไม่ต้องปวดหัวมากนัก

สำหรับนัดที่เหลือของฤดูกาลนั้น ทั้ง 2 ทีมจะต้องโคจรมาเจอกับทีมระดับ “บิ๊ก 6” ด้วยกันอีกฝั่งละ 2 นัด โดยลิเวอร์พูลจะเจอกับ “ท็อตแนม ฮอตสเปอร์” วันที่ 31 มีนาคม และ “เชลซี” วันที่ 14 เมษายน ส่วนแมนฯ ซิตี้จะฟาดแข้งกับสเปอร์สวันที่ 20 เมษายน จากนั้นไปเยือนปีศาจแดงวันที่ 24 เมษายน

หงส์แดงจะได้เปรียบอยู่บ้างก็ตรงที่ตกรอบเอฟเอคัพไปแล้ว ขณะที่เรือใบสีฟ้ายังมีลุ้นทุกถ้วยที่เหลืออยู่ ไม่ว่าจะเป็นพรีเมียร์ลีก เอฟเอคัพ หรือยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งหมายถึงจำนวนนัดที่จะมากขึ้นตามไปด้วย

อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์เวลานี้ ซิตี้ตุนแชมป์ลีกคัพหรือคาราบาวคัพไว้แล้วถ้วยหนึ่ง แถมนักเตะกับสตาฟฟ์โค้ชกำลังฮึกเหิมจากการไล่แซงลิเวอร์พูล เป้าหมายของเป๊ปเวลานี้คือการพาทีมลุ้นควบแชมป์ให้มากถ้วยที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

สภาพจิตใจแข้งเรือตอนนี้ต่างจากหงส์แดงอย่างสิ้นเชิง แม้คล็อปป์จะทำใจดีสู้เสือให้สัมภาษณ์ว่าไม่หนักใจ และสงครามยังไม่จบ แต่การนำห่างถึง 10 คะแนน แต่หล่นมาเป็นฝ่ายตาม ย่อมลดทอนความมั่นใจของนักเตะไปไม่มากก็น้อย

นักวิจารณ์บางคนแนะว่า ลิเวอร์พูลอาจต้องยอมทิ้งถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งไม่รู้ว่าจะไปได้ไกลขนาดไหน เพื่อมาโฟกัสกับการลุ้นแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดีหนแรกในรอบ 29 ปี

ในทางทฤษฎีถือเป็นคำแนะนำที่สมเหตุสมผล เพราะตอนตกรอบเอฟเอคัพก่อนหน้านี้ก็คล้ายๆ กับทีมยอมทิ้งถ้วยดังกล่าวไปกลายๆ อยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม ด้วยสภาพจิตใจของทั้งนักเตะและแฟนบอลในปัจจุบัน การเลือกทิ้งถ้วยใหญ่สุดอย่างแชมเปี้ยนส์ลีกไปโดยเร็ว ไม่แน่ว่าจะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงหรือไม่

และต่อให้ลดทอนจำนวนเกมเตะไปได้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เปอร์เซ็นต์การคว้าแชมป์ลีกเพิ่มขึ้น

เพราะชะตากรรมไม่ได้อยู่ในกำมือพวกเขาอีกต่อไปแล้วนั่นเอง