“บ้านเมือง” จ่อ “ปิดตัว” “ฉลามเขียว” สั่งลา อย่าฝักใฝ่เผด็จการ

ก่อนสิ้นไตรมาสสุดท้ายของปี 2559 เต็มไปด้วย “ข่าวร้าย” ของวงการสื่อ

หนังสือพิมพ์รายวันฉบับแรกที่ประกาศปิดตัว คือ “บ้านเมือง” หลังจากพยายามใช้มาตรการลดค่าใช้จ่าย แต่ไม่ได้ผล

“บ้านเมือง” ดำเนินการมา 45 ปี ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ.2515 วิจารณ์ ภุกพิบูลย์ เป็นผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์

มานะ แพร่พันธุ์ อดีตบรรณาธิการพิมพ์ไทย บุตรชายของ “ยาขอบ” นักประพันธ์ชื่อดัง เป็นบรรณาธิการบ้านเมืองคนแรก และเป็นยุคที่ได้รับความนิยมมากที่สุด

ในยุคแรกอยู่ภายใต้ บริษัท บ้านเมืองการพิมพ์ จำกัด กระทั่งปี 2543 อยู่ภายใต้ บริษัท นวกิจบ้านเมือง จำกัด จนถึงปัจจุบัน

“มานะ” เจ้าของนามปากกา “เงา 100%” เขียนคอลัมน์บันเทิง เป็นหนึ่งในคอลัมนิสต์สายบันเทิงที่โด่งดังในยุคนั้น

บ้านเมืองนำเอาโปรแกรมม้าแข่ง มาลงเป็นครั้งแรกๆ ในวงการหนังสือพิมพ์ จุดเด่นของบ้านเมือง ได้แก่ “โฆษณาย่อย” หรือ “คลาสสิฟายด์” ที่มีประกาศแจ้งความสารพัด ขายรถ ขายบ้าน ที่ดิน สินค้าอื่นๆ รับสมัครงาน ในช่องเล็กๆ อ่านง่าย และเป็นเอกลักษณ์

ทีมงานส่วนมากมาจากพิมพ์ไทย หนังสือพิมพ์ดังแห่งยุคอีกฉบับ มีนักหนังสือพิมพ์ที่มีชื่อเสียงระดับแม่เหล็ก อาทิ ถาวร สุวรรณ ที่เป็นมือรองจาก บ.ก.มานะ นอกจากนี้ นพคุณ ธารอุทิศ

คอลัมนิสต์มี ตาหมอหลอ หรือ สำเนียง ขันธะชวนะ จากสยามรัฐ, มานิต สังวาลเพชร หรือ โหรเฟื่อง โหราเพ็ชร, อนันต์ อัศวนนท์ หรือมดคันไฟ, สุภาพ คลี่ขจาย หรือ ฉัตร เชิงดอย

อลงกรณ์ พลบุตร รองประธาน สปช. ก็เคยทำงานข่าวที่บ้านเมืองมาก่อน

บ้านเมืองเติบโตในแนวทางหนังสือหัวสียุคใหม่ มีทั้งข่าวบันเทิง กีฬา และการเมือง เป็นสื่อที่จัดเครื่องไม้เครื่องมือ รถรา และสวัสดิการให้นักข่าวได้อย่างค่อนข้างครบครัน

ปี 2534 เกิดความขัดแย้งภายใน มานะลาออกมาทำหนังสือพิมพ์สื่อไท โดยมีนายทุนคือ สุรพันธ์ งามจิตรสุขศรี ที่วงการอสังหาริมทรัพย์ปัจจุบันรู้จักดี

“สื่อไท” ออกมาได้ประมาณ 6 เดือนก็เลิกไป โรงพิมพ์สื่อไทย่านรามคำแหงเปลี่ยนชื่อมาเป็นโรงพิมพ์รุ่งสิน รับงานพิมพ์ทั่วไป

บ้านเมืองเปลี่ยนบรรณาธิการ ประคองตัวมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงช่วงการมาถึงของนิวมีเดีย ก็เปิดเว็บไซต์ข่าวบ้านเมืองเช่นเดียวกับฉบับอื่น

เมื่อมรสุมเศรษฐกิจกราดเกรี้ยว การเกิดขึ้นของสื่อใหม่เบียดพื้นที่ของสื่อเก่าจนหดหาย จึงต้องรับผลกระทบเต็มๆ

ก่อนมีประกาศยุติการดำเนินงานภายในปลายปีนี้

 

ชลอ จันทร์สุขศรี กรรมการและบรรณาธิการบ้านเมืองคนปัจุบัน ได้เผยแพร่ประกาศปิดตัวเอง เมื่อ 30 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า แจ้งประกาศต่อพนักงานทุกคน โดยระบุว่า เนื่องจากรูปแบบการดำเนินธุรกิจเปลี่ยนไปมาก มีสื่อชนิดต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ทำให้การต่อสู้ของสื่อสิงพิมพ์เป็นไปอย่างยากลำบาก

ประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ไม่เอื้ออำนวย ทางผู้บริหาร บริษัท นวกิจบ้านเมือง จำกัด ได้พยายามประคับประคองสถานการณ์อย่างสุดความสามารถมาเป็นระยะเวลาพอสมควร แต่ก็ไม่อาจทนต่อสถานการณ์ปัจจุบันได้ จึงตัดสินใจยุติการผลิตหนังสือพิมพ์บ้านเมือง นับแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 เป็นต้นไป และมีความจำเป็นต้องเลิกจ้างพนักงานทั้งหมด

ทางผู้บริหารได้ขอบคุณพนักงานทุกคนที่ร่วมแรงร่วมใจร่วมทุกข์สุขมา ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ซึ่งเป็นวันที่ตัดสินใจอย่างยากลำบากที่สุด แต่เพื่อให้ทางผู้บริหารและบริษัทสามารถดูแลพนักงานได้อย่างถูกต้องและเป็นไปตามกฎหมาย จึงขอประกาศให้ทราบ ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2559

และในบ้านเมืองฉบับวันที่ 3 ธันวาคม “ฉลามเขียว” คอลัมนิสต์บ้านเมือง ได้เขียนในคอลัมน์หน้า 3 เรื่อง “บาปของข้า” ระบุว่า

เพื่อนนักข่าวคนหนึ่งของผมเขียนตอบกลับมาใน line ว่า “เซ็ตซีโร่สื่อเลย” หลังจากที่ผมส่งข่าวไปบอกว่า ผมกำลัง จะกลายเป็นนักข่าวตกงานแล้วนะ กำลังจะสิ้นสภาพการเป็นนักหนังสือพิมพ์ที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2522 ในวันสิ้นปี 2559 นี้แล้ว

คำนี้ของเพื่อนนักข่าวมันกินใจผมมาก ผมได้เขียนตอบกลับไปว่า “ขอบคุณ กปปส.” เพราะผมมั่นใจว่า ภาวะเศรษฐกิจ ประเทศไทยมันพังยับเยินถึงขั้นที่กิจการสื่อสิ่งพิมพ์อยู่ไม่ได้ ซึ่งผมก็จำไม่ได้ว่า ตั้งแต่ 22 พฤษภาคม 2557 จนถึงวันนี้ ปิดกิจการไปแล้วกี่สำนัก และจะปิดอีกกี่สำนัก เป็นผลพวงมาจากการ “ปิดบ้านปิดเมือง” จนเกิดรัฐประหาร

ตัวผมเป็น กปปส. นะครับ ผมไปร่วม ปิดบ้านปิดเมืองกับเขาด้วย แต่ผมขอเฉลยนิดนึง ตัวผมไม่ได้มีอุดมการณ์ กปปส. ผมตอแหลแต่งเครื่องแบบ กปปส. ไปเพื่อกินของฟรี อาหารอิสลามตามเต๊นท์ที่มาจาก 3 จังหวัดใต้อร่อยที่สุด พุงกางแล้วผมก็กลับ

ผมมีอุดมการณ์ฝักใฝ่เผด็จการไม่ได้หรอกครับ เพราะอาชีพของผมคือนักข่าว อาชีพนี้จะเจริญรุ่งเรืองอยู่ได้ก็เฉพาะในการปกครองระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น ระบอบการปกครองประชาธิปไตยทำให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ เสรีภาพของสื่อคือเสรีภาพของประชาชน นักข่าวรุ่นพี่ของผมทุกคนสั่งสอนให้ผมยืนอยู่ตรงข้ามเผด็จการ และตัวผมก็เริ่มงานที่นิตยสารรายสัปดาห์แนวหัวก้าวหน้าฝั่งตรงข้ามเผด็จการ ก็ฝังอุดมการณ์นั้นมา

วันนี้เราเห็นกันแล้ว เศรษฐกิจไทยเสียหาย หนักขนาดนี้เพราะ? ซึ่งตอนแรกตัวผมก็พอมีความหวังว่า ถ้ามีเลือกตั้ง มีรัฐบาลที่ประชาชนเลือกตั้งภายใน 2 ปี ก็พอที่จะกอบกู้กันได้ โฆษณาจะกลับมา แต่เมื่อภาวะมันอึมครึมก็เป็นธรรมชาติของเจ้าของ ทุกกิจการที่จะต้องหดมือกลับกันหมด เมื่อโฆษณาเหือดเกิน 2 ปี ก็คือความเศร้า

บางคนก็ว่า เพราะสื่อออนไลน์ยึด นั่นก็ถูกส่วนหนึ่งครับ แต่ถ้าชาติบ้านเมืองยังปกครองในระบอบประชาธิปไตยอยู่มันก็จะไม่ซ้ำเติมแรงเร็วขนาดนี้ สื่อสิ่งพิมพ์สามารถที่จะทำสื่อออนไลน์ควบคู่ไปได้ ก็พอจะอยู่รอดได้

ประวัติศาสตร์บันทึกไว้แล้วครับ เพราะ Shutdown Bangkok. ผมก่อบาป ตัวผม ผู้จะสิ้นสภาพนักหนังสือพิมพ์ในวันที่ 31 ธันวาคม 2559 ก็ขอฝากแก่นักข่าวทุกคนที่ยัง มีชีวิตอยู่ และยังได้ทำงานต่อไป หรือ คนที่กำลังอยากเป็นนักข่าว เอาไว้สั้นๆ ว่า

“เป็นนักข่าว-อย่าฝักใฝ่เผด็จการ”

 

การถดถอยของสื่อกระดาษ ขณะที่นิวมีเดียเจิดจ้าขึ้นมา เป็นภาพรวมที่เกิดขึ้นทั่วโลก

จะช้า-เร็ว หรือจะถึงขนาดสูญพันธุ์หรือไม่ ขึ้นกับปัจจัยภายในของแต่ละสังคมแตกต่างกัน มีความเข้มแข็งของวัฒนธรรมการอ่านแตกต่างกัน

สำหรับประเทศไทย สภาพที่ไร้เสรีภาพเป็นอุปสรรคกับการทำงานสื่อแน่นอนอยู่แล้ว เมื่อสภาพเศรษฐกิจไม่เป็นใจ ก็ยิ่งเป็นปัจจัยซ้ำเติม

และปฏิเสธไม่ได้ว่า สภาพอันเป็นอุปสรรคทั้งหลาย สื่อต่างๆ ปฏิเสธไม่ได้ว่า มีส่วนในการจุดชนวนและร่วมกระพือ

อย่างที่ฉลามเขียวสรุปไว้ในคอลัมน์ของเขานั่นเอง