การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ หน้าที่ก็คือหน้าที่ อรุณสวัสดิ์

บ้านของยายร่อยดูเงียบเหงา หม่นหมอง ยืนตัวตะคุ่มอยู่ในแสงไฟเพียงวอมแวมที่ลอดส่องมาจากข้างใน ยืนอยู่ใกล้ตีนบันไดเนิ่นนาน ฉันยังคงเห็นพุ่มเก็ดถะหวาต้นนั้น กับนวลดอกขาวราวไม่เคยมีสิ่งใดเปลี่ยนไป

มีแมลงบินมาหาแสงไฟ และไต่ตอมเป็นจุดสีดำเล็กๆ ใกล้หลอดนีออนใต้ชายคา เหลือบตาไปทางซ้าย บ้านของลุงก็เงียบสงัดเช่นกัน และฉันก็ไม่อาจรู้เลยว่าเด็กกะออมอยู่ไหม

อดสะท้อนใจวูบเองไม่ได้…นานแค่ไหนที่บางครั้งฉันก็หลงลืมไป เหมือนในหัวสมองกลับกลายเป็นเพียงห้องโล่งๆ ปราศจากความคิดคำนึงถึงใคร ผู้คนที่ผ่านมาผ่านไปในชีวิตบางคราวเหมือนแมลงพลัดผ่านมา เพียงชั่วเวลากระพือปีกบินร่วมกัน แล้วก็พลันจากกันไป

แต่แค่ว่าบางตัว อาจจะสูญเสียปีกขาดวิ่นสิ้นลง บ้างตกลงสู่พื้น บ้างมอดไหม้ บางตัวบินจาก และบางตัวก็เพียงถูกพรากจาก…เช่นฉัน

เช่น อ้ายหมารอย ญาติโง่ๆ คนนั้น ซึ่งป่านนี้คงจะมีชีวิตอยู่ในที่ที่มันย่อมเกลียดชัง

คิดดูดีๆ แล้วพวกเราเคยเลือกได้มั้ย เราต่างพยายามหนีไปจากกรงขังหนึ่งสู่อีกกรงขังหนึ่ง…ใช่หรือไม่

หมู่แมลงที่เล่นแสงไฟ กับขาที่ถูกล่ามเอาไว้โดยโซ่ที่มองไม่เห็น อันไหนคือเรา

หรือทั้งหมดล้วนแต่ใช่…

 

เด็กผมขอดกำลังนั่งก้มหน้าอยู่กับแสงตะเกียงน้ำมันก๊าดดวงหนึ่ง ซึ่งเปล่งเสียงเพียงเล็กน้อยเท่านั้นท่ามความมืดอันกว้างขวางกินอาณาบริเวณ

ภาพแรกที่เห็นก็อดประหลาดใจไม่ได้ เพราะใช่ว่าบ้านยายร่อยจะไม่มีไฟฟ้าใช้ ด้วยตาที่ชินกับแสงสลัวแล้ว มองไปยังเห็นหลอดนีออนบนฝาอยู่

“ทำอะไรน่ะ?” ทักออกไป

เด็กตัวขาวคล้ายสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นทันควัน

“ทำไมอยู่มืดๆ ล่ะ เปิดแต่ไฟหน้าบ้าน หลอดในบ้านเสียหรือ?”

“เปล่าค่ะ” ตอบเสียงเบา

“อ้าว แล้ว…”

เด็กผมขอดมักจะทำในสิ่งที่ไม่คาดฝัน เหมือนในหัวสมองน้อยๆ นั้นมีความคิดแปลกกว่าจะเข้าใจ ฉับพลันทันใด ก็รู้สึกได้ถึงอ้อมกอดรึงรัด ร่างอุ่นอันสั่นไหว

“ดีใจจังเลยที่พี่มา!”

ประสาทสำนึกบอกว่า ควรจะต้องผลักร่างนั้นออกไป แล้วทำให้ทุกอย่างเป็นอย่างที่ควรเป็นไป ฉันมาในฐานะพี่น้อง ผู้ต้องมาอยู่เป็นเพื่อนตามคำขอของญาติผู้ใหญ่ หากไฉน แขนก็โอบรับกลับไป

“กลัวจะแย่อยู่แล้ว!”

“อ้าว” กลิ่นแชมพูจากเส้นผมอยู่ใกล้เพียงปลายจมูก “กลัวแล้วทำไมไม่เปิดไฟ”

“ยายสั่งเอาไว้ ว่าถ้าพี่มาค่อยเปิด คนจะได้ไม่รู้ว่าอยู่คนเดียว”

อ้อ เป็นความคิดของยายร่อยนั่นเอง รู้ทันทีว่าป่วยการจะถามหาเหตุผลอีกต่อไป แต่ก็อดตำหนิไม่ได้

“แล้วเชื่อยายทำไม ปิดไฟสิ ขโมยขโจรก็จะแอบเข้ามาได้ เปิดไฟสว่างๆ อย่างน้อยก็รู้ว่าใครเป็นใคร…ปิมนี่! ไม่รู้จักคิดเองเสียบ้าง จะหัวอ่อนไปถึงไหน!”

พูดไปแล้วก็นึกได้ว่า เดี๋ยวคงจะมีน้ำหูน้ำตาขึ้นมาอีกกระมัง เป็นความผิดพลั้งของฉันอีกหนแน่

แต่กลับไม่…หนนี้ เด็กผมขอดเพียงแนบหน้าลงซบไหล่ แล้วพูดว่า

“ไม่เป็นไรค่ะ ยังไงพี่ก็มาแล้ว…และมืดอย่างนี้ก็ดีแล้วล่ะ”

 

[สวัสดี เจ้าชายน้อยทัก (1)

– สวัสดี พนักงานสับรางรถไฟตอบ

– คุณทำอะไรอยู่ที่นี่ เจ้าชายน้อยถาม

– ฉันกำลังแยกหมู่นักเดินทาง ออกเป็นหมู่ละพัน พนักงานสับรางรถไฟตอบ ฉันสับรางรถไฟที่บรรทุกผู้โดยสารมาเต็มให้ไปทางขวาบ้าง ทางซ้ายบ้าง

รถด่วนขบวนหนึ่งเปิดหวูด ส่งเสียงกึกก้องผ่านเข้ามา ห้องเครื่องสับรางสั่นสะเทือน

– พวกเขารีบร้อนกันจัง เขากำลังตามหาอะไร เจ้าชายน้อยถาม

– คนคุมหัวรถจักรเองก็ยังไม่รู้ พนักงานสับรางรถไฟตอบ…]

 

นี่ตัวกูหรือ นี่คือใคร คนที่ชั่วช้าสารเลวไม่ต่างอะไรกับใครอื่นใช่หรือไม่…นั่นคือคำถามที่ก้องสะท้อนกลับไปกลับมา

คือตัวกูสินะ คนเห็นแก่ตัว คนที่หลายครั้งเอาตัวเองเข้าพันพัวแต่เรื่องไม่เอาไหน เหมือนตอนนี้ที่ปล่อยให้ร่างอุ่นผ่าวเคลื่อนไหวแผ่วเบาอยู่ในอ้อมแขน

เด็กผมขอดกอดรัดฉันแนบแน่น และดั่งการมาถึงของสิ่งที่คุ้นเคย เมื่อลาดไหล่เปล่าเปลือยเผยออก อีกเสียงกระซิบบอกว่า — คิดถึงพี่ — พี่คิดถึงปิมบ้างมั้ย — ปราศจากเสียงตอบใด ก็ตอบรับไปด้วยสัญชาตญาณ

การกอดรัดพัวพัน การจูบหอม จนอีกฝ่ายเปิดอ้อมแขนอ้อมขา เหล่านี้มีความหมายแค่ไหน?

เหมือนตกดิ่งลงไปในความคิดซ้อนความคิด สุดท้ายได้แต่ปลิดทุกความคิดทิ้งสิ้นไป

เหลือแค่การเคลื่อนไหวสอดประสานในความมัวมน

 

[แล้วเสียงกึกก้องก็ดังมาจากอีกทาง รถด่วนขบวนที่สองแล่นสวนทางเข้ามา

– พวกเขากลับมากันแล้วหรือ เจ้าชายน้อยถาม

– มันเป็นคนละขบวนกัน นี่เป็นขบวนที่วิ่งเข้ามาสับเปลี่ยน คนสับรางตอบ

– เขาไม่พอใจที่ที่เขาเคยอยู่หรือ

– คนเราไม่ค่อยพอใจสิ่งที่มีอยู่หรอก พนักงานสับรางตอบ]

 

“ปิมมีความสุขจัง อยากอยู่กับพี่แบบนี้ทุกวัน”

จากความอบอุ่นของอ้อมกอด ความผ่าวร้อนค่อยคลายลงจนกลายเป็นเหงื่อซึมเหนอะหนะ แล้วฉันก็พบว่า จมูกเริ่มได้กลิ่นอับๆ สาบๆ ของสะลี

ร่างเดิมที่หอมกลิ่นแป้งกระป๋องเคลือบผิว ก็ยังหอมอยู่ แต่ที่ลอยเคล้าเข้ามาคือสารพัดกลิ่นจากซอกมุมภายในห้อง นี่ย่อมเป็นห้องที่ยายร่อยนอนกับหลานทุกวัน

เหมือน…การกินเพิ่งอิ่มจนไม่นึกอยากอีกต่อไป จนกว่ามื้อใหม่จะมาถึงอีกครั้ง ฉันรู้อีกครั้งว่า ที่น่ารังเกียจสิ้นดีก็คือตัวฉันนี้เอง

 

[รถด่วนขบวนที่สามเปิดหวูดดังสนั่นผ่านเข้ามาอีก

– เขากำลังติดตามนักเดินทางกลุ่มแรกหรือ เจ้าชายน้อยถาม

– เขาไม่ได้ไล่ตามอะไรหรอก พวกเขานั่งหลับอยู่ในนั้น หรืออาจกำลังหาว มีแต่พวกเด็กๆ เท่านั้นที่เอาจมูกแนบกระจก พนักงานสับรางตอบ

– มีแต่เด็กๆ เท่านั้นที่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร เจ้าชายน้อยพูด พวกเขาสูญเสียเวลาให้กับตุ๊กตาผ้า และมันก็สำคัญสำหรับเขามาก ถ้ามีคนมาแย่งมันไป เขาจะร้องไห้

– พวกเขาโชคดีจริงๆ พนักงานสับรางรถไฟกล่าว]

 

ฉันอดคิดถึงเจ้าชายน้อยไม่ได้ และคิดถึงแต่ละสถานที่ที่เจ้าชายน้อยไป ฉันพลิกอ่านหนังสือข้ามไปข้ามมา ทว่าเหมือนแต่ละบทล้วนกดประทับลงในความรู้สึก

ฉันไม่ใช่คนได้เรียนหนังสือสูงๆ และทุกวันก็มีเพียงโต๊ะลังกระดาษอยู่ในมุมหนึ่งของห้อง ทุกเช้ายังต้องลุกขึ้นคว้าเสื้อคว้าหมวกออกไปทำงานกลางทุ่ง ตกค่ำถึงเหงื่อซ่กกลับมา ทว่า สิ่งที่ตัวหนังสือยิบๆ พวกนั้นสื่อสารกับฉัน ช่างมหัศจรรย์สิ้นดี

และอาจเป็นอย่างนั้น บางสิ่ง…ที่ก่อรูปขึ้นทีละชั้น ทีละน้อย จึงทำให้ฉันพูดออกไปเบาๆ กับคนข้างตัวว่า

“เออ นี่ช่วงนี้พี่ทำจุลสารนะ…”

กำลังนึกอยากจะพูดว่า…เผื่อถ้าสนใจ

แต่เด็กผมขอดกลับเพียงขยับตัวให้หัวซุกเข้าใกล้ไหล่

“ได้ยินข่าวอยู่ค่ะ พี่จะทำไปขายใครกัน”

คำถามง่ายๆ แต่กลับเหมือนของแแหลมแทงปลายเข้ามาฉึกหนึ่ง

“พี่ทำไปทำไมคะ”

 

ฉันไม่ควรจะโกรธเด็กผมขอดเลย เหมือนที่ไม่ควรรู้สึกรู้สาอะไรอีก ไม่ว่าเรื่องใด การมีความรู้สึกมากเกินไป มีแต่จะทำให้ชีวิตตกต่ำลง

ว่าแต่ว่า คนเราจะสูงส่งไปทางไหน เพื่ออะไร เพื่อใคร และแม้แต่สิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่นี้ มันดีมันชั่วยังไง ตัวฉันเองก็ยังตอบไม่ได้…ใช่ ฉันตอบไม่ได้

เพียงบัว, อีกครั้งสินะ ที่ฉันจะเขียนจดหมายถึงเธอทั้งในหน้ากระดาษและในหัวของฉัน เฉกเช่นบทกวีที่ท่องอยู่ในความนึกคิดเหล่านั้น…ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าฉันจะทำทั้งหมดนี้เพื่ออะไร

การได้อ่านหนังสือบางเล่มที่ซาบซึ้งกินใจ มันจะมีประโยชน์อะไรกับชีวิตฉันมั้ย และเรื่องโง่ๆ ที่ตัวฉันกระทำลงไปมากมาย มันจะได้อะไรขึ้นมา

[คนเข้าไปอยู่ในรถด่วน โดยไม่รู้ว่ากำลังตามหาอะไร พวกเขาจึงสับสนและวนไปมาเป็นวงกลม…]

 

“ปิมอยากลองอ่านบ้างไหมล่ะ…หรือว่า อยากจะอ่านหนังสืออื่นสักเล่มมั้ย”

เหมือนการเล่นพนันโดยวางเดิมพันอยู่กับตัวเองเพียงลำพังอย่างโง่ๆ ลึกๆ ฉันอาจหวังให้มีแสงแดดผุดโผล่ออกมาจากที่ไหนสักแห่ง

หากก็เปล่าเลย โลกยังคงเผยด้านที่น่าชังของมัน และตอกย้ำความโง่เขลาของฉันไม่มีสิ้นสุด

“ไม่เอาหรอกค่ะ แค่หนังสือเรียนก็ปวดหัวจะแย่แล้ว…พี่ดูแลตัวเองด้วยนะคะ ปิมได้ยินมาว่า ถ้าคนเราหมกมุ่นกับหนังสือมากๆ จะ…จะเป็นบ้าได้”

มีเสียงกระซิบแผ่วเบามาจากที่ไหนสักแห่ง ฟังคล้ายกังวานเยาะหยัน หรืออาจเป็นเสียงหัวเราะขบขัน เสียงอันน่าชังของทั้งผู้หญิงผู้ชาย ผู้คนทั้งหลายที่เพียงมองว่าฉัน “บ้า” กว่าจะเข้าใจ

เพียงบัว, โลกของเธอล่ะ จริงๆ แล้วเป็นอย่างไร มันศิวิไลซ์ต่างจากโลกของฉันใช่หรือเปล่า แต่ขณะเดียวกัน “โลกของเรา” ก็เหมือนบางดวงดาวที่เจ้าชายน้อยไปเยือน…หรือไม่

 

[-อรุณสวัสดิ์ คุณดับโคมของคุณทำไม

– มันเป็นหน้าที่ คนจุดโคมตอบ อรุณสวัสดิ์

– หน้าที่คืออะไร

– คือการดับไฟในโคม ราตรีสวัสดิ์

เขาจุดไฟอีก

– แล้วคุณจุดไฟอีกทำไม

– มันเป็นหน้าที่ คนจุดโคมตอบ

– ผมไม่เข้าใจเลย เจ้าชายน้อยพูด

ไม่เห็นมีอะไรต้องเข้าใจ คนจุดโคมตอบ หน้าที่ก็คือหน้าที่ อรุณสวัสดิ์]

————————————————————————————————————————-
(1) จากหนังสือเรื่อง เจ้าชายน้อย, อังตวน เดอ แซงเตกซูเปรี เขียน, อริยา ไพฑูรย์ แปล