นิ้วกลม : “ทาง” เกิดจากการ “ก้าว” การนำโดยไม่นำ ของ ตูน บอดี้สแลม

นิ้วกลมfacebook.com/Roundfinger.BOOK

1 เรื่องเริ่มจาก พี่ตูน บอดี้สแลม ไปสร้างบ้านพักที่บางสะพาน ประจวบคีรีขันธ์

เป็นบ้านที่เขาหลบไปหย่อนใจบ่อยๆ หลังทัวร์คอนเสิร์ต อยู่แถวนั้นก็ได้ทำกิจกรรมโปรด นั่นคือการวิ่ง

พี่ตูนได้ฟังปัญหาของโรงพยาบาลที่บางสะพานว่าขาดแคลนอุปกรณ์การแพทย์เพื่อรักษาผู้ป่วยให้ได้เต็มประสิทธิภาพ

พี่ตูนอยากช่วยเหลือโดยการชักชวนผู้คนมาร่วมบริจาค เขาคิดว่าวิธีการควรจะเรียบง่าย ไม่ใช้เงินมากนัก เพราะควรนำเงินมามอบให้โรงพยาบาลมากกว่าจะละลายน้ำไปกับการจัดอีเวนต์

สิ่งที่เขาคิดลงมือทำนั้นเรียบง่ายแต่ทรงพลังยิ่ง

วิ่ง…จากกรุงเทพฯ ไปบางสะพาน

10 วัน 400 กิโลเมตร

ก้าว…ทีละก้าว

 

2 เมื่อวานนี้ ผมออกจากบ้านตอนตีห้า นั่งรถพี่ปิงปอง-นิติพัฒน์ สุขสวย พี่ชายผู้น่ารักแห่งอะเดย์ไปร่วม “ก้าว” กับพี่ตูนด้วยคน

เราตั้งใจจะไปร่วมทางในเซ็ตที่สองของวันที่สอง นั่นคือกิโลเมตรที่ 60 ของพี่ตูน แถวๆ มหาชัย เพราะพี่ตูนจะชักชวนพี่ๆ น้องๆ หลายคนไปวิ่งข้างๆ กัน หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไป โดยมีตัวเขาคนเดียวเท่านั้นที่วิ่งตลอด 400 กิโลเมตร

แม้วิ่งอยู่บ้าง แต่ผมก็เว้นการวิ่งไปเป็นเดือนๆ เลยตั้งใจวิ่งแค่ 5 กิโลเมตร

แต่เมื่อไปถึง ทุกคนพูดกันเป็นเสียงเดียวว่า ใครๆ ที่มาวิ่งก็วิ่งกันครบ 10 กิโลทั้งนั้น ยังบอกกับเขาอยู่ว่า “ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องเหมือนใครๆ ก็ได้” ว่าแล้วก็หัวเราะ เพราะในใจคิดว่า แม้เราจะอยากไปแตะขอบฟ้า แต่ขอบฟ้าของแต่ละคนคงไกลไม่เท่ากัน ไม่ต้องเอาขอบฟ้าคนอื่นมาเป็นมาตรฐานก็ได้ (แต่สุดท้ายก็วิ่งครบ 10 กิโลเมตรจนได้ ไม่งั้นเดี๋ยวไม่หล่อ 55)

คล้ายๆ เรื่องการบริจาคเงิน มาก-น้อยไม่สำคัญ บริจาคในจำนวนที่สบายใจ เวลาบริจาคเพื่อสมทบทุนกันทำในสิ่งใหญ่ สิ่งที่น่าจะคิดถึงไม่น่าใช่ตัวเรา แต่น่าจะเป็นผลลัพธ์จากการได้ช่วยเหลือกัน เมื่อไม่คิดถึงตัวเอง ผมว่าเราจะไม่มีคำถามว่า “น้อยไปไหม” หรือ “มากไปหรือเปล่า” เพราะเมื่อหลายๆ จำนวนรวมกันมันนำไปสู่ผลลัพธ์ร่วมกัน เรื่องแบบนี้ เอาที่สบายใจ

และความสบายใจที่แท้จริงก็คือการได้เห็นว่าผลลัพธ์นั้นงอกงามอย่างที่ตั้งใจ โดยมีเราเป็นส่วนเล็กๆ ในนั้น

 

3 นั่นเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกจากการได้ไปวิ่งร่วมกับพี่ตูนและพี่ๆ เพื่อนๆ เช้าเมื่อวาน

ระหว่างทางเต็มไปด้วยผู้คนที่เดินออกจากบ้านมาทักทาย ขอถ่ายรูป และร่วมบริจาค

รถหลายคันจอดรอเพื่อมอบเงินให้

หลายคันวิ่งผ่านไปแล้วเปิดกระจกลงมาโบกไม้โบกมือแล้วบอกพี่ตูนว่า “สู้เค้านะพี่ตูน”

บางคนบอกว่า “วิ่งต่อไป เป็นกำลังใจให้นะคะ” ผู้ชายมาดแมนบางคนก็ชูกำปั้นให้อย่างทรงพลัง ทำนองว่า “นายทำได้”

ถนนทั้งสายเหมือนมีหยดน้ำเล็กๆ ค่อยๆ ไหลมาชุบชูจิตใจให้นักวิ่งทางไกลคนนี้มีแรงที่จะก้าวต่อไป รอยยิ้ม แววตา เงินบริจาคที่หยิบยื่นมา เล็กๆ น้อยๆ แต่รวมกันแล้วมันช่างทรงพลังเหลือเกิน

ผมสังเกตเห็นความรู้สึกมากมายเต็มไปหมด ทั้งชื่นชม ทั้งปลาบปลื้ม ทั้งเอาใจช่วย และที่สำคัญที่สุด ผมเห็นแววตาที่มีพลังของผู้คนที่ได้รับพลังจากการ “ออกจากฝั่ง” ครั้งนี้ของ ตูน บอดี้สแลม

เราอยู่บนโลกใบนี้ต่างหน้าที่ ต่างบทบาทกันไป บางคนเป็นผู้วิ่งนำ บางคนเป็นคนวิ่งข้างๆ บางคนวิ่งตามอยู่ข้างหลัง บางคนคอยให้น้ำอยู่ระหว่างทาง บางคนคอยปรบมือให้กำลังใจ บางคนก็อยู่บนรถคอยปฐมพยาบาล บางคนก็ถือกล้องบันทึกการถ่ายทำ บางคนก็เป็นตำรวจรักษาความปลอดภัยตลอดเส้นทาง และอื่นๆ อีกมากมาย

แต่ทุกคนทั้งหมดนี้ ล้วนช่วยกันสร้างเส้นทางขึ้นมา ทุกคนต่างช่วยกันคนละก้าว ก้าวไปด้วยกัน จึงเกิดเป็น “ทาง” ให้เห็น

“ทาง” ที่ว่านี้อาจไม่เคยมีทางมาก่อนเลย กระทั่งมีคนกรุยทาง แล้วมีผู้คนร่วมทาง

เป็น “ทาง” สู่โรงพยาบาลบางสะพาน ที่สร้างขึ้นจากการ “ก้าว” ของหลากหลายผู้คน

 

4 ตอนออกวิ่ง พี่ตูนหันมาถามผมว่า “พี่เอ๋วิ่ง pace เท่าไหร่ วันนี้เราวิ่งกันตาม pace พี่เอ๋เลยก็ได้นะครับ”

คำถามนี้ชวนให้คิดว่า การที่เราจะวิ่งไปให้ถึงจุดหมาย ผู้วิ่งนำใช่ว่าจะวิ่งไปตามที่ตัวเองต้องการโดยไม่สนใจเพื่อนร่วมทาง แต่การวิ่งที่ดีคือการรับฟังและปรับเปลี่ยนไปตามเพื่อนร่วมทางด้วย เราอาจช้าลงบ้างได้ เพื่อจะได้วิ่งไปด้วยกันหลายๆ คน

ในระหว่างทาง บางช่วงมีนักวิ่งบางคนบาดเจ็บ นักวิ่งที่เหลือก็ดูแลถามไถ่ ทีมที่มาด้วยกันก็ช่วยกันปฐมพยาบาล

บางช่วงที่บางคนเหนื่อยก็ชะลอ เดินบ้าง ไม่ต้องรีบเข้าเส้นชัย เราไม่ได้แข่งกัน แต่เราวิ่งข้างๆ กันเพื่อช่วยสนับสนุนกัน

จึงเป็นบรรยากาศที่ดีตลอดเส้นทาง ถ้าไม่รีบ ทุกคนก็ไปถึงพร้อมกันได้

พี่ตูนจะยกมือไหว้ทักทายพี่น้องลุงป้าสองข้างทางตลอด ทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง ใครขอถ่ายรูปก็ถ่ายด้วย บางคนก็ขอกอด ผมแอบเห็นบางคนขโมยหอมแก้ม

และท่าประจำของพี่เขาก็คือยกนิ้วโป้งให้ตอนวิ่งผ่าน นิ้วโป้งนั้นผมเดาว่ามันมีความหมายของคำว่า “ขอบคุณครับ” รวมๆ กับ “คุณเยี่ยมมาก”

เป็นบรรยากาศที่น่ารักมาก นักร้องยอดนิยมหนึ่งคนออกวิ่งเพื่อหาเงินสนับสนุนโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่ง โดยมีผู้คนมากมายออกมาให้กำลังใจและกำลังทรัพย์สนับสนุน

ระหว่างวิ่งตามหลังพี่ตูน ผมมองเห็นพี่เขาเหมือนเทียนที่วิ่งไปต่อไฟให้กับเทียนอีกมากมายให้สว่างขึ้น ผมเองก็เป็นหนึ่งในเทียนที่ถูกจุดไฟ

เราได้เห็นว่า เราสามารถเริ่มต้นทำอะไรดีๆ ได้โดยไม่ต้องนั่งบ่นก่นด่า เปลี่ยนพลังวิจารณ์เป็นพลังสร้างสรรค์ เมื่อได้ลงมือทำ และยิ่งเป็นการวิ่ง ซึ่งได้สัมผัสผู้คนอย่างใกล้ชิด เราจะได้สัมผัสถึงพลังน้ำจิตน้ำใจของผู้คนที่ตั้งใจดี อยากช่วยเหลือกัน คนที่มอบเงินให้ระหว่างทางโดยไม่ต้องระบุชื่อแซ่ ไม่ต้องให้ใครรู้ว่าฉันมอบเงินให้ รอยยิ้ม พลังใจ และความเป็นมนุษย์ที่น่ารัก เหล่านี้ล้วนเป็นสัมผัสที่แตกต่างจากบรรยากาศการตีต่อยกันด้วยความคิดเห็นในโซเชียลมีเดีย

พี่ตูนทำให้ผมเห็นว่า เราควรปิดคอมพ์ แล้วออกไปลงมือทำบ้างๆ ออกไปพูดคุยกับผู้คนตัวเป็น ออกไปส่ง-รับกำลังใจ ออกไปจับมือ โอบกอด เพื่อทำบางสิ่งร่วมกัน

แน่ล่ะ บางคนอาจบอกว่า เพราะนี่เป็น ตูน บอดี้สแลม จึงเกิดภาพแบบนี้ขึ้นได้ แต่ผมกลับคิดว่านั่นไม่ใช่ข้ออ้างที่ใครสักคนจะไม่เริ่มต้นทำอะไรเพียงด้วยเหตุผลว่า “ฉันไม่ได้เป็นคนที่เป็นที่รู้จักของสังคม” ผมกลับคิดว่า ต่อให้ครั้งนี้เป็น ตูน บอดี้สแลม ออกวิ่งด้วยวัตถุประสงค์ที่ไม่น่ารักแบบนี้ ก็จะไม่เกิดภาพเช่นนี้ขึ้น

เจตนาเป็นสิ่งสำคัญ

ยิ่งเจตนาที่บริสุทธิ์ก็ยิ่งทรงพลัง

 

5 พี่ตูนได้อะไรจากการวิ่งครั้งนี้? เงินก็ไม่ได้ เหนื่อยก็เหนื่อย แต่หลังจากไปวิ่งตามหลังพี่ตูนและได้สัมผัสกับสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทาง ผมคิดว่าพี่ตูนได้รับในสิ่งที่เงินก็ซื้อไม่ได้ เมื่อได้เห็นพี่น้องออกมาให้กำลังใจ ยิ้มให้ พูดคุย พี่ตูนพูดออกมาว่า “นี่แหละครับ เหตุผลที่อยากมาวิ่งครั้งนี้”

แน่นอนครับ ผมไม่มีทางล่วงรู้ความรู้สึกของพี่ตูน แต่พอจะบอกเล่าได้ในมุมส่วนตัวว่า ผมรู้สึกดีกับความเป็นมนุษย์ และรู้สึกมีความหวัง

ผมรู้สึกว่าเราสามารถลงมือทำเรื่องดีๆ ด้วยเจตนาดีๆ ความปรารถนาดีต่อผู้อื่น เริ่มจากก้าวเล็กๆ เพื่อให้คนอื่นเริ่มอยากก้าวไปด้วยกัน ก้าวเล็กก้าวน้อย ก้าวยาวก้าวสั้นก็ไม่เป็นไร เพราะแต่ละก้าวล้วนส่งพลังให้อีกคนได้ก้าวต่อไป ผมพบว่า หากลงมือทำสิ่งใดด้วยพลังสร้างสรรค์จะมีผู้ได้รับพลังนั้น และพร้อมจะส่งพลังนั้นกลับมา

เราต่างก้าวไปด้วยกันได้ ด้วยวิธีของแต่ละคน

ตามศักยภาพที่ทำแล้วสบายใจ

บางคนพยายามเปลี่ยนโลกด้วยพลังที่แข็งกร้าว ขณะที่บางคนก็พยายามเปลี่ยนโลกด้วยพลังที่นุ่มนวล

 

6 แน่นอนว่า ปัญหาโรงพยาบาล อุปกรณ์การแพทย์ และบุคลากรสาธารณสุข เป็นปัญหาในระดับโครงสร้างด้วยเช่นกัน การช่วยเหลือหนึ่งโรงพยาบาลอาจไม่ได้แก้ปัญหานี้ในระดับประเทศ แต่อย่างน้อย พี่ตูนก็ได้จุดประกายให้หลายคนได้มองเห็นปัญหา ซึ่งไม่ได้มีแค่โรงพยาบาลบางสะพานเท่านั้น คนตัวเล็กๆ คนหนึ่งเมื่อรับรู้ปัญหาก็อยากช่วยแก้ปัญหาเท่าที่ความสามารถของตนจะมี หากผู้คนที่มีส่วนรับผิดชอบในภาครัฐ องค์กรทั้งหลาย เห็นปัญหาและต้องการแก้ไขก็น่าจะทำได้ตามศักยภาพของตนเช่นกัน

บางปัญหา อาจเริ่มจากการแก้ที่โครงสร้างบิดเบี้ยว แต่บางครั้ง การขยับจากส่วนเล็กๆ ก็สะเทือนโครงสร้างอัปลักษณ์กระทั่งได้รับการแก้ไขปรับเปลี่ยนได้เช่นกัน

ผมชื่นชมพี่ตูน ที่เขาไม่บ่นอย่างเดียว แต่ลงมือทำเท่าที่ทำได้

ระหว่างที่โลกกำลังเต็มไปด้วยผู้นำเสียงดัง ขึงขัง ฟันธง ผมวิ่งตามหลังพี่ตูนแล้วรู้สึกว่าช่างเป็นบุคลิกของผู้นำที่น่ารัก นอบน้อม เป็นกันเอง รับฟัง ชะลอฝีเท้าเพื่อก้าวไปกับคนร่วมทาง

ทั้งนำและไม่นำไปพร้อมๆ กัน

ระหว่างร่วมเส้นทางเดียวกัน พี่ตูนส่งพลังให้คนที่วิ่งไปด้วยกัน คนที่พบเห็น แต่เราไม่รู้สึกว่าเขาโดดเด่นอยู่เพียงผู้เดียว เราไม่เห็น “ผู้นำ” เรากลับเห็น “ทาง” ที่พวกเราร่วมกันสร้าง โดยมีผู้นำเป็นส่วนหนึ่ง

แล้วเราก็สร้าง “ทาง” ไปด้วยกัน คนละก้าว คนละก้าว

ถึงที่สุดแล้ว ผู้นำก็กลายเป็นทาง ผู้ร่วมทางก็กลายเป็นทาง

“ทาง” ไปสู่จุดหมายเดียวกัน

นั่นคือโรงพยาบาลบางสะพาน

ผมคิดว่า นี่เองพลังแห่งการนำ นำโดยไม่นำ และทุกคนสามารถกระโดดมาร่วมทางได้ตามวิธีและศักยภาพของตัวเอง ภารกิจเช่นนี้ ความสำเร็จไม่ได้รออยู่ที่ปลายทาง หากแต่เกิดขึ้นตั้งแต่ระหว่างทางแล้ว นั่นคือความสุขและความรู้สึกถึงพลังของตนเองจากผู้เข้าร่วมทุกคนว่า ฉันก็มีส่วนในการสร้างทางครั้งนี้

ความสำเร็จจากการทำให้คนรู้สึกว่าเราสร้างทางได้จากการเริ่มก้าว

แล้วทางเส้นใหม่ๆ จะเกิดขึ้นอีกเป็นร้อยเป็นพัน

รอยยิ้มและแววตาของพี่น้องสองข้างทางยืนยันกับผมเช่นนั้น