ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 1 - 7 มีนาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | คนมองหนัง |
ผู้เขียน | คนมองหนัง |
เผยแพร่ |
ก่อนหน้างานมอบรางวัลออสการ์ประจำปีนี้ ยังมีอีกหนึ่งวาระสำคัญของวงการภาพยนตร์อเมริกันที่แฟนหนังบางส่วนให้ความสนใจ
นั่นคืองานประกาศรางวัล “ฟิล์ม อินดีเพนเดนต์ สปิริต อวอร์ดส์ 2019” ซึ่งนับเป็นรางวัลใหญ่สุดของแวดวงหนังอินดี้สหรัฐ
มีข่าวน่ายินดีสำหรับวงการหนังบ้านเราเกิดขึ้นในงานดังกล่าว เมื่อ “สยมภู มุกดีพร้อม” ตากล้องภาพยนตร์ระดับอินเตอร์ชาวไทย คว้ารางวัลผู้กำกับภาพยอดเยี่ยมมาครองได้สำเร็จ จากผลงานที่ฝากเอาไว้ใน “Suspiria” หนังระทึกขวัญรีเมกโดย “ลูก้า กัวดาญีโน”
อย่างไรก็ตาม สยมภูกำลังติดภารกิจอยู่ที่อื่นจนไม่สามารถเดินทางไปรับรางวัลด้วยตัวเองได้ เขาจึงฝากข้อความสั้นๆ ส่งไปถึงแขกเหรื่อในงานว่า “ผมรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง จิตวิญญาณของผมมันเป็นอิสระอยู่ตลอดเวลา นี่คือเหตุผลว่าทำไมผมจึงไม่อาจอยู่ร่วมงานมอบรางวัลในวันนี้”
ที่น่าตื่นเต้นกว่านั้นคือ สยมภูกลายเป็นผู้กำกับภาพที่ได้รับรางวัลสปิริต อวอร์ดส์ สองปีติดต่อกัน หลังจากเมื่อปีก่อนเขาได้รับการประกาศชื่อเป็นผู้กำกับภาพยอดเยี่ยมจาก “Call Me by Your Name”
แม้ “Call Me by Your Name” และ “Suspiria” จะเป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์ของ “ลูก้า กัวดาญีโน” ทั้งสองเรื่อง
แต่ในขณะที่เรื่องแรกกวาดรางวัลและได้ลุ้นรางวัลสำคัญๆ ประจำปี 2018 เรื่องหลังกลับได้รับเสียงวิจารณ์แบบครึ่งๆ กลางๆ และไม่มีโอกาสลุ้นรางวัลใหญ่มากนัก
ทว่ายังมีผู้สันทัดกรณีจำนวนไม่น้อยที่ชื่นชมผลงานการกำกับภาพใน “Suspiria”
เช่น คริส โอฟาลต์ แห่งเว็บไซต์ indywire ซึ่งยกย่องให้การทำงานของสยมภูใน “Suspiria” เป็นการกำกับภาพยอดเยี่ยมอันดับ 1 ประจำปีที่ผ่านมา
โอฟาลต์ระบุว่า ตากล้องชาวไทยได้พิสูจน์ให้เห็นอีกคำรบว่าเขาคือหนึ่งในผู้กำกับภาพชั้นยอดของวงการภาพยนตร์ยุคปัจจุบัน
โจทย์ของหนังระทึกขวัญรีเมกเรื่องนี้จะมุ่งถ่ายทอดสังคมเยอรมันยุคสงครามเย็นด้วยโทน “สีเทา” เพื่อขับเน้นถึงภาวะ “แห้งเหือด” บางประการ
โดยสยมภูในฐานะคนหน้างานก็ตอบโจทย์ดังกล่าวได้อย่างดีเยี่ยม และไม่ต้องโยนภาระหนักหนาให้แก่กระบวนการโพสต์โปรดักชั่น ซึ่งมักจะบดขยี้ชีวิตและวิญญาณในจอภาพยนตร์ด้วยเทคโนโลยีทันสมัยอยู่บ่อยครั้ง
คอลัมนิสต์ของ indywire ชื่นชมอีกด้วยว่าแม้จะเลือกใช้สีได้อย่างจำกัด ทว่าสยมภูกลับสามารถถ่ายภาพออกมาได้อย่างมีชีวิตชีวา รุ่มรวย และละเอียดลออ
และแม้ผู้กำกับภาพชาวไทยจะได้รับอิทธิพลจากตากล้องเยอรมันยุค 70 แต่เขาก็สามารถแปรอิทธิพลเหล่านั้นออกมาเป็นงานในแบบฉบับของตนเอง
ก่อนหน้านี้ สยมภูเคยเล่าถึงกระบวนการทำงานในหนังเรื่อง “Suspiria” เพื่อเผยแพร่ลงนิตยสารสมาคมผู้กำกับภาพอเมริกัน
แม้ผู้กำกับภาพชาวไทยจะยังประกาศจุดยืนชัดเจนว่าตนเองสามารถทำงานกับกล้องฟิล์มได้ดีกว่ากล้องดิจิตอล แต่การใช้กล้องฟิล์มใน “Call Me by Your Name” กับ “Suspiria” ก็มีรายละเอียดผิดแผกกัน
เพราะในหนังเรื่องก่อน เขาเลือกใช้แค่เลนส์ 35 ม.ม. เพียงขนาดเดียว ทว่าในผลงานล่าสุด สยมภูกลับพกพาเลนส์มาแทบทุกขนาด ตั้งแต่ 18 ม.ม. ยัน 100 ม.ม.
ผู้กำกับหนังชาวอิตาเลียนอย่างกัวดาญีโนเอ่ยถึงผู้กำกับภาพคู่ใจชาวไทยว่า
“แม้เขาจะมีความรู้เรื่องเทคนิคภาพยนตร์ในระดับปรมาจารย์ แต่สยมภูกลับให้ความสำคัญแก่ความเป็นมนุษย์มากกว่าประเด็นเชิงเทคนิค ที่สำคัญ เขายังมีความรู้เกี่ยวกับทักษะการเล่าเรื่องในระดับเยี่ยมยอด ซึ่งทักษะด้านนี้ก็มีความเกี่ยวข้องกับมนุษย์และอารมณ์ความรู้สึกของพวกเขา”
คุณสมบัติข้อดังกล่าวปรากฏชัดเจนผ่านถ้อยคำที่สยมภูอธิบายถึงวิธีการทำงานใน “Suspiria”
ผู้กำกับภาพชาวไทยเชื่อว่าบรรดานักแสดงที่รับบทเป็นนักเต้นในหนังเรื่องนี้ ควรจะได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากสภาพแวดล้อมรอบกายพวกเธอ
“สภาพแวดล้อมจะมอบอารมณ์และความรู้สึกให้แก่พวกเรา ดังนั้น แทนที่จะต้องพยายามสร้างรูปลักษณ์ภายนอกให้แก่หนัง ผมจึงอยากที่จะสร้างโลกทั้งใบของหนังเรื่องนี้ขึ้นมา แล้วค่อยเดินเข้าไปในโลกใบนั้น เสมือนว่าเราเพิ่งจะซื้อกล้องมาหนึ่งตัว เพื่อถ่ายภาพต่างๆ ของโลกที่ถูกสร้างขึ้น”
เมื่อเดินเข้าไปในโลกแห่งภาพยนตร์ สามสิ่งสำคัญที่เป็นดังเข็มทิศนำทางให้แก่สยมภูก็คือ วิธีการกำกับหนังของกัวดาญีโน, การออกแบบงานสร้างที่ถูกจัดวางเอาไว้เรียบร้อย และความเคลื่อนไหวของเหล่านักแสดง
“ผมอยากจะสร้างเวทีให้ลูก้าและบรรดานักแสดง พวกเขามีอิสระเต็มที่ที่จะเคลื่อนไหวไปไหนก็ได้บนเวที ถ้าลูก้ามองภาพในเฟรม แล้วเขาบอกให้ผมเขยิบเข้าไปใกล้กว่าเดิมเพื่อถ่ายโคลสอัพ การตัดสินใจนั้นก็เกิดขึ้นจากแรงผลักดันของตัวละคร” สยมภูเล่า
ขณะเดียวกัน เจ้าของรางวัลสปิริต อวอร์ดส์ สองสมัยซ้อนกล่าวย้ำว่า เขาคือผู้กำกับภาพที่ปฏิบัติตามบทภาพยนตร์อย่างเคร่งครัด เนื่องมาจากความเชื่อส่วนตัวว่า ถึงที่สุดแล้ว ความสำเร็จของงานศิลปะ ซึ่งต้องพึ่งพาความร่วมมือ-ร่วมใจของผู้คนจำนวนมากนั้น จะขึ้นอยู่กับปฏิสัมพันธ์อันลื่นไหล-เข้าใจกันระหว่างทีมงาน
“คุณต้องปล่อยให้ทุกคนในทีมได้เปล่งศักยภาพของตนเองออกมา” นี่คือคำอธิบายโลกในกองถ่ายภาพยนตร์ของสยมภู มุกดีพร้อม
ที่มาเนื้อหา
https://ascmag.com/articles/suspiria-season-of-the-witch