การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ แค่จะขอให้มันเมตตานำพาฉันไป

ฉันเจอประโยคที่เพียงบัวพูดถึงแล้ว!

[- ลาก่อน สุนัขจิ้งจอกพูด1

– ลาก่อน และนี่คือความลับของฉัน มันเป็นเรื่องธรรมดามาก เราจะเห็นอะไรได้เพียงหัวใจเท่านั้น สิ่งสำคัญไม่อาจเห็นได้ด้วยตา

– สิ่งสำคัญไม่อาจเห็นได้ด้วยตา เจ้าชายน้อยพูดซ้ำ เพื่อเก็บไว้ในความทรงจำ

– เวลาที่เธอเสียให้ดอกกุหลาบของเธอ ทำให้ดอกกุหลาบนั้นทวีความสำคัญ

– เวลาที่ฉันเสียให้ดอกกุหลาบของฉัน…เจ้าชายน้อยทวนคำ

– ผู้คนมักจะลืมสัจจะอันนี้ แต่เธอจะต้องไม่ลืม เธอจะต้องรับผิดชอบกุหลาบของเธอ…

– ฉันจะต้องรับผิดชอบกุหลาบของฉัน…เจ้าชายน้อยพูดซ้ำเพื่อเก็บไว้ในความทรงจำ]

ช่างเป็นบทสนทนาที่น่าสนใจเสียเหลือเกิน หมาจิ้งจอกกับเจ้าชายน้อยพูดกันในเรื่องที่ดูเหมือนจะยากกับความเข้าใจ แต่…ก็มีอะไรบางอย่าง ทำให้ฉันรู้สึกกินใจ

แล้วดอกกุหลาบของเจ้าชายน้อยมันเป็นยังไง ฉันเปิดอ่านข้ามไปข้ามมา เพื่อมองหาประโยคในจดหมายของเพียงบัว จึงไม่ได้อ่านต่อเนื่องแต่แรก ซึ่งปกติไม่เคยทำอย่างนี้มาก่อน

เหลือบดูฟ้านอกหน้าต่าง มืดหมดแล้ว และเริ่มเห็นดวงดาวเปล่งแสงอยู่วิบวับไกลๆ บอกตัวเองว่า อีกเดี๋ยวเดียวค่อยไป ปิมปาเองไม่ใช่เด็กเล็กอะไรนักหนา ทำไมจะอยู่ลำพังสักชั่วระยะไม่ได้

 

เรื่องของ “ดอกไม้” ปรากฏในตอนก่อนหน้า ที่หมาจิ้งจอกจะปรากฏตัวเสียอีก

[แล้วผมก็ได้รู้จักดอกไม้ดอกนี้ดีขึ้นในเวลาไม่นาน ดอกไม้ธรรมดาที่ประดับกลีบเพียงชั้นเดียวมีอยู่มากมายบนดาวของเจ้าชายน้อย เธอไม่ต้องการเนื้อที่มากนัก และไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อใคร เธอจะบานกลางกอหญ้าในอรุณรุ่ง และค่อยๆ เหี่ยวเฉาไปกับสนธยา

แต่ดอกไม้ดอกนี้แตกหน่อขึ้นมาในวันหนึ่ง จากเมล็ดพันธุ์ที่ไม่มีใครรู้ว่ามาจากไหน เจ้าชายน้อยฟูมฟักหน่ออ่อนที่ดูจะแตกต่างจากต้นอื่นนี้อย่างใกล้ชิด เพราะมันอาจจะเป็นต้นไทรพันธุ์ใหม่ก็ได้ แต่หน่ออ่อนกลับชะงักการเติบโตอย่างรวดเร็วและเริ่มจะกลายเป็นดอกไม้ดอกหนึ่ง

เจ้าชายน้อยเฝ้ารอให้ดอกตูมเบ่งบาน เพราะรู้ดีว่าเธอจะสร้างปรากฏการณ์ที่วิเศษสุด แต่ดอกไม้ก็ไม่หยุดเพียงแค่นั้น เธอกำลังจะกลายเป็นดอกไม้ที่แย้มบานกลางพุ่มใบสีเขียว เธอเลือกสีอย่างประณีต แต่งแต้มด้วยความพิถีพิถัน และประจงจัดกลีบอย่างงดงาม เธอจะไม่ยอมให้กลีบออกมายับย่นแบบดอกฝิ่นเป็นอันขาด เธอจะเบ่งบานก็ต่อเมื่อเธอคิดว่าเธอเปี่ยมไปด้วยประกายแห่งความงามเท่านั้น เธอรักสวยรักงามมากทีเดียว

การแต่งแต้มสีสันในความลึกลับดำเนินไปวันแล้ววันเล่า แล้วรุ่งเช้าวันหนึ่ง ขณะดวงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า เธอก็ตื่นขึ้นมาทักทายด้วยความงามเพียบพร้อม….]

มีภาพประกอบในหน้าเหล่านั้นด้วย เป็นเด็กผู้ชายผูกผ้าพันคอ ถือกระถางรดน้ำให้กับดอกไม้

[- เธอสวยอะไรอย่างนี้

– จริงหรือ ดอกไม้ตอบอย่างอ่อนโยน และฉันก็เกิดตอนพระอาทิตย์ขึ้นด้วยนะ

เจ้าชายน้อยรู้ได้ทันทีว่า ดอกไม้ไม่ได้รู้จักถ่อมตัว แต่เธอก็สวยจับใจจริงๆ

– ฉันคิดว่าถึงเวลาอาหารเช้าแล้วนะ ถ้าเธอจะกรุณาคิดถึงฉันบ้าง…

แม้ว่ากำลังงุนงง เจ้าชายน้อยก็อุตส่าห์ไปหากระป๋องมารดน้ำตามคำขอ

ดอกไม้ได้สร้างความปวดร้าวให้เจ้าชายน้อย เพราะความหลงตัวและแสนงอน เช่น วันหนึ่งขณะกำลังพูดกันถึงหนามแหลมทั้งสี่ของเธอ ดอกไม้ก็บอกกับเจ้าชายน้อยว่า

– ให้มันมาเถอะ พวกเสือกับเขี้ยวเล็บของมันน่ะ

– บนดาวของฉันไม่มีเสือหรอก และเสือก็ไม่กินพุ่มไม้ด้วย

– ฉันไม่ใช่พุ่มไม้นะ ดอกไม้ตอบอย่างนุ่มนวล

– ฉันขอโทษ…

– ฉันไม่กลัวเสือหรอก แต่ฉันกลัวลมโกรก เธอไม่มีที่กำบังลมเลยหรือ

เล่าถึงตอนนี้ เจ้าชายน้อยพูดกับผมว่า “ถ้ากลัวลมโกรกละก็ โชคไม่ดีเลยที่เธอเกิดมาเป็นดอกไม้ เธอเป็นดอกไม้ที่เรื่องมากจริงๆ…”

เพราะเหตุนี้แม้จะหลงรักดอกไม้มากเพียงใด เจ้าชายน้อยก็เริ่มไม่ไว้ใจเธอ เขาใส่ใจคำพูดไร้สาระมากเกินไป จนทำให้ตัวเองไม่สบายใจ

“ผมไม่น่าจะไปถือสาเธอเลย” เจ้าชายน้อยปรับทุกข์กับผมในวันหนึ่ง “เราไม่ควรฟังดอกไม้พูด แค่เฝ้ามองและดมกลิ่นเธอก็น่าจะพอแล้ว ดอกไม้ของผมส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั้งดวงดาว แต่ผมเองที่ไม่รู้จักทำใจให้เบิกบานไปกับมัน เรื่องเขี้ยวเล็บชอบเข้ามารบกวนและทำให้ผมไขว้เขวอยู่เรื่อย”

เขาเล่าต่อไปอีกว่า

“ผมช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลย ผมน่าจะตัดสินเธอจากการกระทำไม่ใช่จากคำพูด เธอสร้างความสดชื่นให้ผม ผมไม่น่าจะหนีจากเธอมาเลย

ผมน่าจะมองเห็นความนุ่มนวลน่ารักที่แฝงอยู่ในความเจ้าเล่ห์อย่างร้ายกาจของเธอ

ดอกไม้มักแปรปรวนง่ายอย่างนี้เสมอ แต่ผมอาจเด็กเกินไปที่จะรู้จักรักใครก็ได้”]

โอ…เพียงบัว, มีอะไรมากมายไหลเข้ามากระทบใจฉัน จนฉันอยากจะคว้าสมุดปากกามาเขียนจดหมายอีกครั้ง ถ้าหากไม่ตระหนักว่าจะต้องลงเรือนไปก่อน

สิ่งที่เจ้าชายน้อยพูดกับ “ฉัน” ในเรื่อง และสิ่งที่เจ้าชายน้อยคิดเกี่ยวกับกุหลาบดอกนั้น มันช่างเหมือนกับประสบการณ์ของฉันเมื่อตอนเด็กๆ

ตอนที่เคยมีแก้มหอม…

แก้มหอมก็เหมือนดอกกุหลาบต้นนั้น ทั้งสวยงาม แสนหวาน เย่อหยิ่ง และหลงตัวเองอย่างหนัก หากแต่ฉันก็รักเธอ ใช่ ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าไม่เคยรัก

และเช่นกัน ฉันก็หนีจากแก้มหอมมา ยังจำได้ว่า เมื่อคว้าเอากุหลาบทั้งต้นขึ้นพ้นจากดิน ฉันเจ็บมากแค่ไหน

[“ไปเลย! ไปตายเสีย!”

แก้มหอมแผดเสียงใส่ฉันในวันสุดท้ายนั้น ตอนฉันยืนเคว้งบนกองขี้ดิน กุหลาบเพิ่งปลูกใหม่ถูกถอนโคนขึ้น รากชี้ฟ้า ดอกตูมบี้แบนเพราะรอยตีนกระทืบ มือฉันเจ็บแปลบจากหนามที่กำกระชากด้วยมือเปล่า

เพราะก่อนหน้านั้น เราพูดกันเรื่องสถานะของฉัน

“เธอรังเกียจฉันมากเลยหรือ?”

ฉันถามออกไปตรงๆ

“แค่ไม่ได้ไปเรียนโรงเรียนมอด้วย ต้องรังเกียจกันขนาดนี้เลยหรือ?”

“เปล่า” แก้มหอมรีบปฏิเสธ “ฉันไม่ใช่คนนิสัยเสียขนาดนั้น”

“เสียไม่เสีย เธอก็รังเกียจฉันออกนอกหน้า ฉันก็ไม่ได้โง่นะแก้มหอม”

“ฉันไม่พูดกับเธอแล้ว โง่แล้วยังไม่รู้ตัวว่าโง่ กลับบ้านไปเสียไป๊!”

วันนั้นอย่างไร ที่ฉันโกรธวูบจนแทบเสียสติ เหมือนมีจิ้งหรีดนับร้อยๆ ตัวกรีดปีกเซ็งแซ่ในหู ฉันแทบไม่รู้จักอะไรอย่างอื่นอีก นอกจากความเจ็บปวดจนเกินทน เพราะ….เพราะคนที่พูดอย่างนี้กับฉัน เคยขนาดวิ่งตีนเปล่าตามหลังฉัน เคยออดอ้อนเว้าวอน เคยทำสิ่งต่างๆ มากมายที่ทำให้ฉันหลงเชื่อ

“ไปเลย! ไปตายเสีย!”

นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ดอกกุหลาบอย่างแก้มหอมพูดกับฉัน และฉันก็ยืนจ้องหน้าเธออยู่นิ่งนาน ไม่พูดอะไรสักคำอีก ก่อนจะหันหลังจากมา

จากมาตลอดกาล

ฉันอ่านหนังสือเรื่องเจ้าชายน้อย ทั้งตอนหมาจิ้งจอกและตอนดอกกุหลาบ ด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบไปหมด เหมือนมีสิ่งต่างๆ มากมายหลากไหลเข้ามา กระแสน้ำที่ไหลผ่านหน้า นำพาทุกขยะและเศษซากความทรงจำแตกบิ่น…กระท่อนกระแท่น ทั้งที่ยังมีเสี้ยวคมจมบาด และอาจทิ่มแทงได้อยู่ หวนพรั่งพรูมา

เราไม่อาจลืมมันได้จริงๆ หรือ แม้แต่สิ่งที่ผ่านไป ไม่ได้อยากจำ

ความทรงจำมีชีวิตเองหรืออย่างไร เหมือนหนอนนอนอยู่ในโพรงกะโหลก แค่รอว่า อะไรจะมากระตุ้นให้มันเคลื่อนไหว

และเมื่อมันเริ่มเลื้อยชอนไช…

เหมือนเพียงบัวจะล่วงรู้จิตใจฉัน ประโยคที่เขียนมาในจดหมายบางฉบับนั้น…เพื่อทำให้ฉันคิดมากขึ้น…มากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่สิ่งที่ไม่เคยคิดไปถึง

เหมือนตอนนั้นเลย ที่เจ้าชายน้อยมาถึงโลก

[- สวัสดี เจ้าชายน้อยทัก

– สวัสดี งูตอบ

– ฉันมาอยู่บนดาวอะไร เจ้าชายน้อยถาม

– บนโลกมนุษย์ ในแอฟริกา งูตอบ

– อา…ไม่มีคนบนโลกเลยหรือ

– ที่นี่เป็นทะเลทราย ไม่มีคนอยู่ในทะเลทรายหรอก โลกนี้กว้างใหญ่มาก งูบอก

เจ้าชายน้อยนั่งลงบนหินก้อนหนึ่ง แล้วแหงนมองฟ้า

– ฉันคิดว่าดวงดาวทอแสงเป็นประกาย ก็เพื่อสักวันหนึ่งคนจะได้มองขึ้นไปเห็นดวงดาวของตัวเอง นั่นคือดาวของฉัน มันอยู่บนหัวเรานี่เอง แต่มันช่างไกลเสียเหลือเกิน เขาพูด

– ดาวของเธอสวยดีนะ แล้วเธอมาทำอะไรที่นี่ล่ะ งูถาม

– ฉันมีเรื่องกับดอกไม้ดอกหนึ่ง เจ้าชายน้อยพูด

– อา งูร้อง

แล้วก็เงียบไปทั้งคู่

– พวกคนเขาอยู่ที่ไหนกันล่ะ เจ้าชายน้อยถามขึ้นในที่สุด ดูเหมือนเราจะโดดเดี่ยวอยู่กลางทะเลทราย

– แม้ในฝูงคน เราก็ยังโดดเดี่ยว งูบอก]

ถ้าเข็มพวกนั้นมีสีเงิน มันก็พร่างพราวจนแสบตา และแทงเข้ามาจนแทบจะมิดเล่ม…เล่มแล้วเล่มเล่า มีเสียงไหม ไม่มี เงียบสนิทและมีแต่ความเจ็บปวดของฉันเท่านั้นที่เอ่อท้นอยู่มากมาย ทำไมฉันยังต้องรู้สึกอย่างนี้ ทำไมสิ่งต่างๆ ที่ผ่านไป มันจึงหวนกลับมาทำร้ายได้อีกครั้งแล้วครั้งเล่า

ดวงดาวของฉันล่ะ อยู่ที่ไหน จะมีใครมาทำให้ฉันเชื่องได้ด้วย…จะมีมั้ย และเท่าที่อ่านไป ฉันว่า อีกวูบที่ตระหนักถึงทุกสิ่งเคยผ่านมา รวมถึงนังแพศยาอัมพรนั่น ฉันอยากรู้จักงูตัวนั้นมากที่สุดล่ะ อยากจะให้มันมีอยู่จริงๆ

[เจ้าชายน้อยจ้องดูงูอยู่นาน

– เธอเป็นสัตว์ที่แปลกมาก ผอมเหมือนนิ้วมือ เขาพูดออกมาในที่สุด

– แต่มีอานุภาพกว่านิ้วมือของราชา งูพูดต่อ

เจ้าชายน้อยยิ้ม

– เธอมีฤทธิ์ไม่มากหรอก เธอไม่มีขา เธอจะเคลื่อนไหวได้อย่างไร

– ฉันพาเธอไปได้ไกลกว่าเรือเดินสมุทรด้วยซ้ำ งูกล่าว

งูเลื้อยไปพันรอบข้อเท้าเจ้าชายน้อย มองดูเหมือนกำไลสีทอง

– เมื่อฉันสัมผัสใคร ฉันจะคืนเขาแก่แผ่นดินที่ก่อเกิดเขามา…]

ฉันเข้าใจในความหมายเหล่านั้นจนหมดสิ้น สิ่งที่ “วงแหวนสีพระจันทร์” ตัวนั้นพูดออกมา ใช่จริงๆ ด้วยนะ สิ่งที่ตกตะกอนอยู่ข้างในร่ำไป สิ่งที่ไม่เคยบอกกับใคร แม้แต่กับเพียงบัว…ลึกๆ ฉันอาจแค่มีชีวิตอยู่เพียงเพื่อจะมองหางูสักตัว เหมือนตัวที่พูดกับเจ้าชายน้อยว่า

“เมื่อฉันสัมผัสใคร ฉันจะคืนเขาแก่แผ่นดินที่ก่อเกิดเขามา” และ “…ฉันจะช่วยเธอในวันหนึ่งที่เธอรู้สึกคิดถึงดวงดาวของเธอ”

ถ้าพบงูตัวนั้นเมื่อไหร่ แน่ใจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ด้วยความปรารถนาเดียวสุดท้าย ฉันคงแค่จะขอให้มันเมตตานำพาฉันไป โดยเงียบง่ายและหมดจด

——————————————————————————————————-
(1) จากหนังสือเรื่อง เจ้าชายน้อย, อังตวน เดอ แซงเตกซูเปรี เขียน, อริยา ไพฑูรย์ แปล