ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 1 - 7 มีนาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | กรองกระแส |
เผยแพร่ |
กรองกระแส
2 กลุ่ม 2 แนว
เผด็จการ ประชาธิปไตย
เก่า ปะทะ ใหม่
การเลือกตั้งในเดือนมีนาคม 2562 เด่นชัดมากยิ่งขึ้นว่าเป็นการปะทะระหว่างกลุ่มความคิด 2 กลุ่มออกมาอย่างเด่นชัด
เหมือนกับ 1 เป็นกลุ่มที่มากับ “รัฐประหาร”
เหมือนกับ 1 เป็นกลุ่มที่ได้รับผลสะเทือนจาก “รัฐประหาร”
ที่น่าสนใจก็คือ ความคิด 2 กลุ่มนี้ดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องในห้วงนับแต่รัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 มายังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
ไม่ว่าจะเรียกตนเองว่าพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าจะเรียกตนเองว่าพรรครวมพลังประชาชาติไทย ไม่ว่าจะเรียกตนเองว่าพรรคประชาชนปฏิรูป ไม่ว่าจะเรียกตนเองว่าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเรียกตนเองว่าพรรคภูมิใจไทย ไม่ว่าจะเรียกตนเองว่าพรรคชาติไทยพัฒนา ไม่ว่าจะเรียกตนเองว่าพรรคชาติพัฒนา
ไม่ว่าจะเรียกตนเองว่าพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะเรียกตนเองว่าพรรคไทยรักษาชาติ ไม่ว่าจะเรียกตนเองว่าพรรคประชาชาติ ไม่ว่าจะเรียกตนเองว่าพรรคเพื่อชาติ หรือแม้กระทั่งที่เรียกตนเองว่าพรรคอนาคตใหม่ พรรคสามัญชน
ล้วนหนีไม่พ้นไปจาก 2 กลุ่มความคิดคือ กลุ่มที่มีความโน้มเอียงไปในทางรัฐประหาร กับกลุ่มที่มีความเด่นชัดว่าไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร
นี่คือความคิดใหญ่ 2 ความคิดที่ดำรงอยู่ตั้งแต่ก่อนรัฐประหารปี 2549 เป็นต้นมา
ความคิด เผด็จการ
ความคิด ประชาธิปไตย
ความโน้มเอียงในทางสังคมไม่ว่าจะเป็นรัฐประหารก่อนเดือนกันยายน 2549 กับรัฐประหารหลังเดือนกันยายน 2549 ก็คือ
ความโน้มเอียงที่จะแยกจำแนกระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตย
ความเคยชินประการหนึ่งก็คือ ภายหลังการรัฐประหารทุกครั้ง สภาพที่ตามมามักจะโน้มเอียงไปทางเผด็จการมากกว่าประชาธิปไตย
กระแสความเรียกร้องต้องการ “การเลือกตั้ง” จึงขึ้นสูง
ด้วยความหวังว่าการเลือกตั้งเป็นความหวัง การเลือกตั้งเป็นทางออก จากความเป็นเผด็จการไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย
ความเคยชินประการหนึ่งก็คือ ฝ่ายที่ได้อำนาจมาด้วยการรัฐประหารและดำรงการปกครองในแบบเผด็จการอย่างเป็นด้านหลัก มักจะยื้ออยู่ในอำนาจยาวนานที่สุดเท่าที่จะยาวนานได้ หรือแม้จะมิอาจทนต่อกระแสการเรียกร้องประชาธิปไตยก็มักจะร่างกฎกติกาที่ต้องการรักษาอำนาจของตนเอาไว้อย่างเหนียวแน่น
รัฐประหารกับเผด็จการจึงถูกเรียกขานในลักษณะเหมือนกับเป็นไวพจน์และมีความใกล้เคียงกัน ขณะที่การเลือกตั้งกับประชาธิปไตยจะเป็นอีกองค์เอกภาพหนึ่งเปรียบเทียบ
การต่อสู้ความคิด
ระหว่างใหม่กับเก่า
การต่อสู้ในทางความคิดผ่านกระบวนการรัฐประหาร ผ่านกระบวนการต่อต้านรัฐประหาร จึงนำไปสู่ชุดความคิด 2 ความคิดเสมอ
1 ความคิดนิยมชมชอบรัฐประหาร 1 ความคิดไม่นิยมชมชอบรัฐประหาร
1 ความโน้มเอียงที่จะนำเอาวิธีการแบบเผด็จการมาเป็นเครื่องมือ 1 ความโน้มเอียงที่จะนำวิธีการแบบประชาธิปไตยมาเป็นเครื่องมือ
ผ่านรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 ก็เห็นชัด
ผ่านรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ยิ่งเห็นได้ชัดว่าได้เกิดการตั้งทัพ 2 ทัพเข้าสัประยุทธ์กันในทางความคิด
กลายเป็นการปะทะกันระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตย
กลายเป็นการปะทะกันระหว่างความคิดเก่ากับความคิดใหม่ และสะท้อนผ่านกระบวนการต่อสู้ของแต่ละพรรคการเมือง
บางพรรคก็แจ่มชัด บางพรรคก็คลุมเครือ
หนทางพิสูจน์ม้า
กาลเวลาพิสูจน์คน
กระบวนการในการต่อสู้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสนามการเลือกตั้งนั่นแหละที่ไม่เพียงแต่จะพิสูจน์สถานะและความเป็นจริงของพรรคการเมือง หากแต่ยังพิสูจน์สถานะและความเป็นจริงของนักการเมือง
บนเวทีปราศรัย บนเวทีดีเบต ในความเคลื่อนไหว
สภาพความเป็นจริงของแต่ละพรรคการเมืองก็จะเผยตัวตนออกมา สภาพความเป็นจริงของแต่ละนักการเมืองก็จะเผยตัวตนออกมา
สะท้อนให้เห็นความคิดเก่า สะท้อนให้เห็นความคิดใหม่
สะท้อนให้เห็นความโน้มเอียงไปในทางรัฐประหาร โน้มเอียงไปในทางเผด็จการ สะท้อนความโน้มเอียงไปในทางเห็นความเลวร้าย เสื่อมทรามของการรัฐประหาร สะท้อนความโน้มเอียงให้เห็นความยอดเยี่ยมของการเลือกตั้ง
ยากเป็นอย่างยิ่งที่แต่ละพรรคการเมือง แต่ละนักการเมือง จะปิดบังอำพรางจากสายตาที่เฝ้ามองของประชาชน
การเลือกตั้งจึงเป็นกระบวนการกลั่นกรองและเลือกสรรอันทรงความหมายในทางการเมือง