บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ/ อนค.โดน ‘สะเก็ดระเบิด’ ตัวเอง

บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ

อนค.โดน ‘สะเก็ดระเบิด’ ตัวเอง

 

คนหนุ่มสาวย่อมไฟแรง มีความคิดแปลกใหม่ ฉีกไปจากเดิม แต่ก็ไม่ได้มีอะไรรับประกันว่าสิ่งที่พวกเขาคิดจะดี หรือเป็นประโยชน์เสมอไป เพราะถึงแม้จะมีความรู้เฉพาะทางมาก เช่น รู้เทคโนโลยี ใช้สมาร์ตโฟนเก่ง แต่บ่อยครั้งมักขาดความรอบคอบ ไม่ได้มองรอบด้าน เข้าข่ายร้อนวิชา

เหตุที่ “ร้อนวิชา” ก็เพราะยังมีประสบการณ์ (ระดับมหภาค) น้อย ไม่รู้ว่าผลเสียจากการร้อนวิชาคืออะไร

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายของ “ร้อนวิชา” เอาไว้ว่า “เกิดความเร่าร้อนอยากแสดงวิชาความรู้ที่ตนเพิ่งเล่าเรียนมาใหม่ๆ”

พร้อมกับยกตัวอย่างการใช้ความหมายนี้ เช่น “เขาเพิ่งเรียนจบมาหมาดๆ แต่ร้อนวิชาลงทุนสร้างภาพยนตร์เรื่องแรก สุดท้ายก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า”

ความล้มเหลวส่วนบุคคลนั้นไม่เป็นไรสำหรับการทำธุรกิจ เพราะความเสียหายไม่กระทบวงกว้าง

แต่หากความล้มเหลวเกิดขึ้นในระดับชาติแล้ว ผู้ที่ต้องรับชะตากรรมคือคนทั้งชาติ

 

หากเทียบกับสภาวะการเมืองในขณะนี้ พรรคของคนหนุ่มที่อยู่ในอาการร้อนวิชา ก็คือพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ซึ่งเสนอนโยบายหลายอย่างที่หวือหวา เช่น ยกเลิกเกณฑ์ทหาร

แม้นโยบายหลายอย่างของพรรคนี้จะโดนใจหลายคน แต่ทว่าทัศนคติและมุมมอง “ในอดีต” เมื่อไม่นานมานี้ของหัวหน้าพรรคถูกขุดคุ้ยมาตีแผ่ โดยเฉพาะประเด็นที่ครึกโครมอยู่ในขณะนี้ก็คือเรื่อง “ยิ้มสยาม” กับ “ยกเลิกการไหว้ครู”

แดง ศัลยา นักเขียนบทละครชื่อดัง ที่มีผลงานดังพลุแตกไม่ว่าจะเป็น ดอกส้มสีทอง บุพเพสันนิวาส ได้โพสต์ข้อความแสดงความผิดหวังต่อบทสัมภาษณ์ของหัวหน้าพรรคนี้ ที่ให้สัมภาษณ์นิตยสารฉบับหนึ่งเมื่อปี 2560 เรื่องที่ไทยเป็น Land of smile ซึ่งหัวหน้าพรรคผู้นี้ได้ตอบว่า “การที่คนไทยยิ้ม เป็นเพราะคนไทยไม่มีจุดยืนในเรื่องอะไรเลย ตอบอะไรไม่ได้สักอย่างก็เลยยิ้ม”

ทำให้แดง ศัลยา บอกว่าตอนแรกคิดจะเลือกพรรคนี้ แต่พออ่านบทสัมภาษณ์แล้ว “เท แน่นอน” เพราะรับไม่ได้ที่ยิ้มของคนไทย ซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงไมตรีจิต เป็นที่ยอมรับทั่วโลก ถูกตีความว่าเป็นเรื่องโง่เขลาเบาปัญญา เรื่องลักษณะนิสัยประจำชาติ ไม่ใช่เรื่องพูดเล่นๆ ตามใจคิด คนมีอคติใจคับแคบแบบนี้เป็นนายกฯ ไม่ได้”

ทำให้อีกหลายคนใช้โซเชียลถล่มหัวหน้าพรรคหนุ่มในประเด็นนี้ กลายเป็นไฟลามทุ่ง

 

ส่วนเรื่องยกเลิกไหว้ครูนั้น หัวหน้าพรรค อนค.ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเมื่อกลางปีที่แล้ว ระบุว่า การไหว้ครูเป็นพิธีกรรมล้าหลัง เจ้ายศเจ้าอย่าง ควรยกเลิก

ถ้าบอกว่าพิธีไหว้ครูเป็นเรื่องล้าหลัง เมืองไทยก็ต้องยกเลิกการไหว้ทั้งหมด ทั้งไหว้พ่อแม่ ไหว้พระ ไหว้บรรพบุรุษที่สร้างชาติ ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ (หวังว่าคงไม่อ้างว่าพิธีไหว้ครูกับการไหว้ทั่วไปเป็นคนละเรื่องกัน)

แต่เท่าที่เห็นหัวหน้าพรรคนี้ตอนออกหาเสียง ก็ยังจุดธูป กำดอกไม้ไปไหว้โน่น ไหว้นี่ เจอชาวบ้านก็ยกมือไหว้ขอคะแนน จึงกลายเป็นเรื่องย้อนแย้งในตัวเอง ในทำนองดีแต่พูดไม่กล้าปฏิบัติจริง เพราะขืนไม่เคารพ ไม่ไหว้อะไรเลย คงไม่ได้คะแนนเสียงจากชาวบ้าน

ลองคิดดูถ้าไปโคราชแล้ว ไม่ไปไหว้ย่าโม หากแต่ไปยืนเท้าสะเอวทำท่าดูหมิ่นดูซิ จะกล้าทำไหม ก็คงไม่กล้าเพราะกลัวชาวบ้านไม่เลือก ต่อให้นโยบายดีแค่ไหน ลองไปท้าทายในเรื่องแบบนี้ดูซิ จะรอดไหม

ประเด็น Land of smile ดูจะเข้ามากลบกระแสฟีเวอร์แฮชแท็ก “ฟ้ารักพ่อ” ที่พรรคนี้กำลัง “เอ็นจอย” ได้ปลื้มในช่วง 2-3 วันก่อนหน้านั้นในคราวไปหาเสียงในงานฟุตบอลประเพณี “จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์” เมื่อมีสาวนักศึกษาบางคน ตะโกนใส่หัวหน้าพรรคที่หนุ่มและรวยหมื่นล้านว่า

“ฟ้ารักพ่อ”

 

ประโยค “ฟ้ารักพ่อ” มาจากฉากหนึ่งของละคร “ดอกส้มสีทอง” ซึ่งนางเอกชื่อ เรยา หรือฟ้า นำแสดงโดยชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต พูดกับสามีที่เป็นหนุ่มใหญ่นักธุรกิจที่ร่ำรวย

เรยา เป็นลูกสาวคนใช้ แต่ทะเยอทะยาน ต้องการใช้ทางลัดเพื่อให้ชีวิตร่ำรวยสะดวกสบาย โดยไม่คำนึงถึงความผิดชอบชั่วดี จึงยึดอาชีพเป็น “ภรรยาน้อย” ของเสี่ยหลายคน

เรยา เป็นคนไม่ชอบเรียน ตอนเข้ามหาวิทยาลัย เธอแต่งตัวนักศึกษาออกจากบ้านทุกวัน แต่ไม่เคยไปเรียน

ประโยคที่มีผู้หญิงตะโกนใส่หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ในวันนั้นจะมีความหมายแท้จริงอย่างไรไม่มีใครทราบได้ แต่หากตีความตามเนื้อหาในบทละคร ก็ออกไปในทำนองชู้สาว คือชอบความรวย พึ่งพาเรื่องเงินได้ จนมีบางคนแสดงความเป็นห่วงว่า “นี่เลือก ส.ส.นะ ไม่ใช่เลือกสามี”

หากยึดตามเนื้อหาในละคร ทั้งเรยา และเสี่ยที่เป็นผู้ชายของเรยา ล้วนเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีทั้งคู่

พรรคอนาคตใหม่มีเป้าหมายจะกวาดคะแนนเสียงจากวัยรุ่นที่มีสิทธิไปออกเสียงเลือกตั้งเป็นครั้งแรกในชีวิต ซึ่งประเมินว่ามีอยู่ประมาณ 6 ล้านคน

ถ้าคน “รุ่นใหม่” เป็นแบบ “ฟ้า” หมด ก็น่าห่วง “อนาคต” (ของชาติ) อยู่เหมือนกัน

อย่างที่กล่าว แม้พรรคนี้จะมีจุดเด่นเรื่องนโยบายบางอย่าง แต่ก็มีจุดอ่อนหลายอย่างที่จะถูกคู่แข่งนำมาเล่นงานได้ โดยนอกจากตัวหัวหน้าพรรคที่ได้รับผลกระทบจาก “คำพูด” ที่ขาดการไตร่ตรอง ก็ยังมีตัวเลขาธิการพรรค

ที่สุดท้ายก็จะถูกสิ่งที่เคยกล่าวไว้ในอดีตย้อนกลับมาทิ่มแทงได้

 

เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เรียนจบจากฝรั่งเศส (และมีภรรยาเป็นคนฝรั่งเศส) เคยเป็นอาจารย์ธรรมศาสตร์และเคยสังกัดกลุ่มนิติราษฎร์ จึงไม่แปลกใจในเรื่องจุดยืนเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์

เคยเสนอแนวคิด “ไม่ให้พระมหากษัตริย์มีพระราชดำรัสสดต่อสาธารณะ” และ “ให้พระมหากษัตริย์สาบานต่อรัฐสภาว่าจะพิทักษ์รัฐธรรมนูญ”

แนวคิดดังกล่าวแน่นอนว่า สร้างความโกรธให้กับคนไทยจำนวนมากเพราะรู้สึกว่า “เกินไป” อีกทั้งเป็นการพูดในช่วงที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ยังไม่ได้เสด็จสวรรคต

เมื่อประเด็นนี้ถูกใครก็ตามขุดคุ้ยขึ้นมาก็มักจะถูกฝ่ายสนับสนุนกลุ่มนิติราษฎร์ กล่าวหาว่านำสถาบันกษัตริย์มาใส่ร้ายผู้อื่น ทั้งที่ความจริงไม่ใช่การใส่ร้าย เพราะเจ้าตัวพูดจริง

หากหลังจากนี้พรรคอนาคตใหม่จะถูกคู่แข่งหรือฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีต (เมื่อไม่นานมานี้) ขึ้นมาตั้งคำถาม ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับจุดยืนในเรื่องเกี่ยวกับสถาบันและอีกหลายเรื่อง ก็เป็นสิทธิของพวกเขาที่จะทำได้

อย่าได้โวยวายว่าเป็นการใส่ร้ายป้ายสี สาดโคลน เพื่อเรียกร้องความเห็นใจ ในเมื่อกล้าพูดก็ต้องกล้ารับผลกระทบ

อีกรอยด่างเล็กๆ ที่ไม่น่าเชื่อของพรรคที่เชิดชูประชาธิปไตยพรรคนี้ ก็คือกรณีตัดชื่อผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคบางคนออก โดยคนหนึ่งถูกตั้งข้อหาว่าเป็นพวกเสื้อเหลือง ส่วนอีกคนถูกหาว่าปลอมตัวมาป่วน ซึ่งผู้ถูกตัดชื่อต่างรู้สึกผิดหวังและน้อยใจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมทั้งที่ทำงานหนักให้กับพรรค บางคนซัดเลยว่ายิ่งกว่าเผด็จการ

สิ่งที่เกิดขึ้น สะท้อนถึงความไม่ใจกว้าง ขี้หวาดระแวง หยุมหยิม ซึ่งไม่ใช่ลักษณะของผู้ที่จะทำการใหญ่สำเร็จ