เครื่องเคียงข้างจอ/วัชระ แวววุฒินันท์/ จอการเมือง

อรุณ วัชระสวัสดิ์

เครื่องเคียงข้างจอ/วัชระ แวววุฒินันท์

จอการเมือง

                               

ช่วงนี้ เสียงปี่กลองทางการเมืองดังเร่งเร้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

แต่ละพรรคต่างเร่งลงพื้นที่เพื่อหาคะแนนเสียงตุนเอาไว้  เพื่อเป็นคะแนนให้สมาชิกที่ลงสมัครได้มีโอกาสเหยียบเท้าเข้าสภา

เพราะจากนี้ก็อีกราว 1 เดือน ที่ประชาชนคนไทยจะได้มีสิทธิ์แสดงอำนาจของตน โดยการหย่อนบัตรเลือกตั้งกันในวันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม ถ้าหากว่ามีนะ…

เอ๊ะ ทำไมถึงต้องเขียนอย่างนี้ เพราะสำหรับการเมืองไทย “อะไรๆ ก็สามารถเกิดขึ้นได้” ฉะนั้น ผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลายอาจต้องเผื่อใจไว้บ้าง

หากมีเหตุให้ต้องขยับวันเลือกตั้งออกไปอีก…ถ้ามี “เหตุ” น่ะนะ

 

แต่ในขณะที่ยังไม่มีอะไร ทุกพรรคต่างก็ยึดหลักชัยเดิมในวันลงดาบเข้าฟาดฟัน นั่นคือวันที่ 24 มีนาคมที่ว่านั่นเอง ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งเข้าไปก็คงจะยิ่งเข้มข้น กระแสจึงเป็นเรื่องสำคัญ เราจึงได้เห็นแต่ละพรรคงัดกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อให้เป็นที่จดจำ

และท่ามกลางบรรยากาศการเมืองที่เข้มข้น ก็ยังมีลูกขำขันให้ได้ยิ้มไปจนถึงได้ฮาแทรกอยู่ตลอดเวลาตามประสาคนไทย ที่สามารถสนุกได้กับทุกเหตุการณ์

เราจึงได้เห็นเหล่าคนดังและไม่ดัง พากันทำโปสเตอร์เลียนแบบป้ายหาเสียงของพรรคการเมืองออกมากันหนาตา โดยหา “ลูกเล่น” มาให้โดนใจคน

อย่างโปสเตอร์หาเสียงของพระเอกติ๊ก-เจษฎาภรณ์ ผลดี ก็เขียนถึงชื่อพรรคตนเองว่า

“พรรคที่จะล้อม” หรือ “พร้อมที่จะรัก” นั่นเอง เอ้า…สาวๆ ได้ฮิ้วกันแน่นอน

แถมยังตอกย้ำสโลแกนโฆษณาด้วยว่า “หยุดสร้างเรื่องราวระหว่างพรรค แล้วมาสร้างเรื่องรักระหว่างเรา” โอ้โฮ..มุขของพี่ติ๊กนี่หยอดหวานกระจัดกระจายดีจัง

เวลาอ่านแนะนำให้นึกถึงหน้าและน้ำเสียงของคุณติ๊กเขาด้วยนะครับ จะได้อารมณ์

หรืออีก 2 โปสเตอร์คนดังที่มีแนวคิดคนละขั้วกันเลย นั่นคือโปสเตอร์ของกันต์ กันตถาวร กับโปสเตอร์ของแท็ค-ภรัณยู

ของกันต์ที่เพิ่งแต่งงานไป และมีภาพของผู้ชายผู้อบอุ่น เลยตอกย้ำภาพจำด้วยชื่อพรรคที่ซัดตรงๆ เลยว่า  “พรรคนี้ รักภรรยาจังครับ” แถมด้วยสโลแกนที่มัดใจผู้หญิงอยู่หมัดว่า  “ใครไม่ใหญ่  แต่ภรรยาต้องเป็นใหญ่”

ส่วนนโยบายที่บ่งบอกถึงการเอาใจเมียสุดๆ  ก็มี “พาภรรยาไปช้อปปิ้งอาทิตย์ละ 7 วัน” “รายได้มีเท่าไหร่ยกให้ภรรยา” “งานบ้านอย่าให้ขาด”

แต่ที่เด็ดสุดและคงถูกใจภรรเมียทั้งประเทศแน่นอนคือ “ให้การกราบเป็นเรื่องปกติ” เอ้า..ฮา

 

ส่วนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามคือของคุณแท็ค เขาตั้งชื่อพรรคไว้ว่า “พรรคเพื่อผัว” โอ้โฮ..บอกชัดกันโต้งๆ อย่างนี้เลย พ่วงด้วยสโลแกนที่เข้าข่ายสามีนิยมว่า  “ปราบเมียดุ งดขึ้นเสียง”

ส่วนนโยบายของ “พรรคเพื่อผัว” นี้ก็มี “รณรงค์ให้เที่ยวกลางคืน ลดปัญหาการใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน” “เพิ่มเบี้ยเลี้ยงผัว เดือนละ 15,000” …ช่างคิดเนาะ และที่ถูกใจบรรดาสามีทั้งหลายเห็นจะเป็นนโยบายข้อนี้

“เพิ่มกฎหมาย เมียห้ามเก็บเงินผัว ลดปัญหาผัวซ่อนเงินเมีย”

เชื่อว่าระหว่าง 2 พรรคที่ยกมานี้ คนลงคะแนนคงจะแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันชัดเจนแน่ๆ

ส่วนที่ออกแนวฮาเป็นพิเศษ ต้องของคนนี้ โอ๊ต-ปาธาน มีชื่อพรรคว่า  “พรรคสายตาเถอะนะคนดี” สโลแกนของพรรคคือ “มุทะลุ บ้างาน เหมือนบ้านจะโดนยึด” แถมมีนโยบายสุดฮาว่า

“ทำนุบำรุงศาสนาเคร่งครัด งานถนัดคือจองกฐิน” (ฮา)

พรรคนี้น่าจะได้คะแนนเสียงจากเจ้าอาวาสและกรรมการวัดเป็นพิเศษนะ

 

นอกจากการทำเลียนแบบโปสเตอร์หาเสียงของคนนอกวงการการเมืองแล้ว ในพื้นที่ของคนการเมืองเอง ก็มีกระแสของคำหรือวลีฮิตที่เกิดขึ้นมาอยู่หลายคำเหมือนกัน

“#ฟ้ารักพ่อ” ก็เป็นคำหนึ่งที่ดังขึ้นมา  จากกรณีที่สาวๆ พากันกรี๊ดให้กับหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่  “ธนาธร  จึงรุ่งเรืองกิจ” เป็นคำที่มาจากละครดังเรื่อง “ดอกส้มสีทอง”

และก็ตามมาด้วย  “#พ่อก็รักฟ้า” เป็นการตอบกลับของเจ้าตัวธนาธรให้กับแฟนคลับทางการเมืองของเขา ตอนนี้เห็นว่ามีลามไปถึง “รักน้องของพ่อด้วย” เพราะงานดีกันทั้งครอบครัว

ส่วนที่โด่งดังขึ้นมาในช่วง “วันนั้น” ที่สร้างความฮือฮาอย่างมาก ก็เห็นจะเป็น  “#ทรงพระสเลนเดอร์” ที่สร้างความฮือฮาแบบจุดพลุ คือวูบเดียวจริงๆ

ส่วนประโยคที่มากับการหาเสียง ไม่ว่าที่ปรากฏบนป้าย หรือที่มาจากปากแกนนำ ก็มีหลากหลายอารมณ์ อย่างเช่นแนวคิดหลักของ “พรรคประชาชนปฏิรูป” ที่กล่าวว่า

“น้อมนำคำสอนพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ เพื่อแก้ไขปัญหาทุกข์รอน ให้ประชาชน”

จนเกิดมีคนสงสัย และยื่นให้ กกต.เพื่อตีความว่า การนำ “พระพุทธเจ้า” มาใช้ในการหาเสียงเช่นนี้ถูกต้องสมควรหรือไม่

แต่ต้องยอมรับว่าเรียกความสนใจได้ไม่น้อย จนกระทั่งมีพรรคการเมืองหนึ่งได้ทำป้ายพาดพิงไปทำนองคล้ายๆ กัน นั่นคือ “พรรคเสรีรวมไทย” ที่มีหัวหน้าพรรคคือ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียเวส  และลูกพรรคที่ชื่อภูวพัฒน์ ธนสกล ได้ทำป้ายในลักษณะคล้ายคลึงกัน และมีคำโปรยว่า

“น้อมนำคำสอน เสรีพิศุทธิ์ มาปฏิบัติ เพื่อแก้ไขปัญหาปากท้องให้ประชาชน”

เออ..เอากับเขาสิ  และผู้สมัครคนเดียวกันนี้ก็ได้ทำป้ายหาเสียงที่บ่งบอกผลงานที่ผ่านมาของตนเองโดยละเอียด แต่เป็นผลงานที่เกี่ยวกับการ “เล่นเกมออนไลน์” ทั้งสิ้น อาทิ

“ช่วยดันกิล” “พาเพื่อนลง 100 ชั้น” “ไม่บอททับที่”

เล่นเอาถูกใจวัยรุ่นขาเกม แต่ผู้ใหญ่คงงงว่า คุณสมบัติอะไรของมัน(วะ)

 

และที่ออกแนวฮาแบบเป็นรูปธรรมหน่อยก็มี อย่างเช่นผู้สมัครที่แต่งกายทำผมทำเผ้าออกมารูปลักษณ์เดียวกับ “คิม จอง อึน” ผู้นำเกาหลีเหนือ หรือผู้สมัครที่แต่งกายแบบเทวดามาลงสมัครเลยก็มี

ส่วนที่เป็นข่าวให้ได้โจษขานกันไม่น้อย คือการเปลี่ยนชื่อของผู้สมัครพรรคหนึ่ง ที่ผู้สมัครชายพากันเปลี่ยนชื่อเป็น “ทักษิณ” และผู้สมัครหญิงเปลี่ยนชื่อเป็น “ยิ่งลักษณ์” เพื่อบอกเป็นนัยๆ ถึงความศรัทธาในตัวบุคคล โดยให้เหตุผลว่าเพื่อให้คนจำได้

อืม..ประเทศไทยนี่ ทำได้ทุกอย่างจริงๆ นะ

ส่วนคำพูดที่ใช้ในการหาเสียง ที่ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ตามมาก็มี อย่างเช่น

การออกมาพูดถึงเอกลักษณ์การยิ้มของคนไทย จากปากของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ว่า

“ผมมานั่งคิดว่าทำไมเราถึงยิ้ม ก็เพราะคนไทยไม่มีจุดยืนเรื่องอะไรเลย เมื่อโดนถามเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ตอบไม่ได้ ทำได้อย่างเดียวคือยิ้ม คนไทยเป็นคนที่ไม่มีจุดยืน แม้แต่เรื่องที่สากลเขายอมรับ

อย่างเช่นเรื่องสิทธิมนุษยชน”

ปรากฏว่ามีคำวิจารณ์เชิงตำหนิตามมาไม่น้อย ทั้งจากนักแต่งเพลงอย่าง ดี้-นิติพงษ์ ที่โพสต์ไว้ว่า “หาเสียงเถิด ชูนโยบายเถิด อย่ามาจำกัดสิทธิการยิ้มของกูเลย ได้โปรด ขนาดกูยิ้มยาก กูยังโกรธ” และนักเขียนบทละคร อ.แดง-ศัลยา ที่พูดแรงถึงขั้นที่ว่า “คนที่มีอคติ และจิตใจคับแคบแบบนี้เป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้” เล่นเอาเจ้าของคำพูดเสียรังวัดไปเหมือนกัน

หรือคำหาเสียงของสมศักดิ์ เทพสุทิน ที่เคยพูดออกมาโต้งๆ แบบไม่ต้องซ่อนเร้นเลยว่า

“ถ้าเลือกพรรคพลังประชารัฐ ก็คือการเลือกพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ” ซึ่งตอนที่พูดนั้นพูดไว้ตั้งแต่ปลายปี 2561 ซึ่งลุงตู่ยังไม่ได้ตกปากรับคำออกมาเลยว่าจะลงสมัครหรือไม่…ทั้งๆ ที่ประชาชนคนไทยก็รู้อยู่แก่ใจมานานแล้วว่า ลุงจ๋า..ลงแน่ๆ ไม่ต้องเหนียม

จากนี้ก็เหลือเวลาอีกร่วมเดือน เราชาวไทยคงได้เห็นอะไรแปลกๆ สนุกๆ ทั้งสายฮาและสายไม่ฮาอีกมาก เป็นออเดิร์ฟชั้นดีก่อนที่เมนคอร์สคือการหย่อนบัตรจะมาถึง

เอกลักษณ์การเมืองไทยเป็นเช่นนี้แล