ศึกนอกก็แรง!-ข้างในก็ร้อน! วิบากกรรม “ทษช.”

เพียง 13 ชั่วโมงหลังจากเปิดชื่อแคนดิเดตหนึ่งเดียวของพรรค “ไทยรักษาชาติ” พรรคน้องใหม่ภายใต้เครือข่าย “ไทยรักไทย” ฝันของการเป็นพรรคเล็กที่ได้เข้าไปนั่งในสภาในนามเครือข่ายประชาธิปไตยก็สั่นคลอน

ทุกอย่างสะดุดลงอย่างที่ใครหลายคนในพรรค โดยเฉพาะกรรมการบริหารพรรคก็ไม่คาดฝัน

กกต.เองซึ่งเป็นคนรับรองคุณสมบัติของผู้เสนอตัวเป็นแคนดิเดตนายกฯ ถึงขนาดกลับลำจากรับรอง เป็นยื่นฟ้องยุบพรรคไทยรักษาชาติอย่างรวดเร็ว

สถานการณ์ของพรรคไทยรักษาชาติหลังคืนวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562 เป็นไปด้วยความเคร่งเครียดทันที

กรรมการบริหารพรรคทั้ง 14 คน เก็บตัวเงียบเพื่อตั้งหลัก

ไม่นับนายรุ่งเรือง พิทยศิริ หนึ่งในกรรมการบริหารพรรคที่รีบแจ้งหมายให้สื่อมวลชนถ้วนทั่วว่าจะไปยื่นใบลาออกจากการเป็นกรรมการบริหารพรรค และไม่รับ ไม่รู้เรื่องดังกล่าว ไม่ได้ร่วมลงมติ ไม่ได้เห็นด้วยแต่ประการใด

และให้เหตุผลว่าที่ลาออกเพราะครอบครัวไม่ต้องการให้ทำการเมือง ทั้งที่ความจริงแล้วใครก็รู้ว่าเป็นการชิงสละเรือไปก่อนที่เรือจะล่ม

การเงียบหายไปของทั้งกรรมการบริหารพรรค และแกนนำฟากไทยรักษาชาติ ทำให้ทั้งผู้สมัคร สมาชิกพรรค และประชาชนที่ให้การสนับสนุนใจคอไม่ดี ยกหูโทร.หาคนนั้นคนนี้เท่าที่จะโทร.สอบถามข้อมูลได้ว่า “เราจะเอาอย่างไรกันต่อ”

เวลานั้น กรรมการบริหารพรรคให้คำตอบเพียงว่า “เพราะทำตามกฎหมายทุกอย่างด้วยความบริสุทธิ์ใจ ซึ่งเราไม่ได้ทำอะไรผิด ให้สมาชิกเดินหน้าต่อ”

จากนั้นไม่ถึง 2 วัน “ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช” หัวหน้าพรรค พร้อมคณะกรรมการบริหารพรรคก็ปรากฏตัวเข้าพรรคเพื่อประชุมหาข้อตกลงว่ากรรมการบริหารพรรคจะเดินหน้า จะถอยหลัง หรือจะทำอย่างไรภายใต้สถานการณ์นี้

โดยระหว่างนี้เอง มีเสียงกระซิบจากสมาชิกพรรคว่า “นายจาตุรนต์ ฉายแสง” ประธานยุทธศาสตร์พรรค ซึ่งเดิมเคยมีชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ คนหนึ่งของพรรคไทยรักษาชาติ รวมถึง “นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ประธานรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของพรรค และ “นายพิชัย นริพทะพันธุ์” คณะทำงานเศรษฐกิจและแกนนำพรรค มีท่าทีที่เปลี่ยนไป

คล้ายลอยแพคณะกรรมการบริหารพรรคซึ่งมีแต่เด็กๆ เพราะเอาเข้าจริงๆ แล้ว “นายจาตุรนต์” ไม่ได้เห็นด้วยตั้งแต่แรกที่จะเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ เพียงคนเดียว และเคยเสนอที่ประชุมในฐานะกรรมการยุทธศาสตร์ว่า พรรคควรเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ไว้อีกสักคนหนึ่ง เพื่อกันความผิดพลาดที่อาจจะทำให้พรรคไม่มีแคนดิเดตนายกฯ ในศึกเลือกตั้งครั้งนี้แม้แต่คนเดียว

แต่คณะกรรมการบริหารก็มีมติออกมาโดยให้ส่งชื่อแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพียงชื่อเดียวเท่านั้นเพื่อความสมเกียรติ

จากนั้น วาจาและท่าทีของนายจาตุรนต์ก็ค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนไป

โดยเริ่มจากการให้ข่าวที่ตลาดเอี่ยมสมบัติ ก่อนเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค 1 วัน ว่า “ตนเองก่อนหน้านี้ที่เข้าใจว่าจะเป็นแคนดิเดตนายกฯ คนหนึ่งของพรรคก็รอว่าจะมีหนังสือมาให้เซ็นยินยอม แต่วันนี้ก็วันที่ 7 กุมภาพันธ์แล้ว เหลือเวลาวันพรุ่งนี้ (8 กุมภาพันธ์) อีกวันก็เข้าใจว่าคงไม่ต้องเซ็นแล้ว”

ประหนึ่งเป็นการตัดพ้อการตัดสินใจบางอย่างของคณะกรรมการบริหารพรรค

ต่อมา วันที่มีการยื่นชื่อแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค “นายจาตุรนต์-นายณัฐวุฒิ-นายพิชัย” รวมถึงสมาชิกฝั่งเสื้อแดง และ นปช. ก็ไม่โผล่ไปที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเลยแม้แต่คนเดียว

สะท้อนความไม่เห็นด้วย แต่ไม่อาจฝืนมติที่ประชุมบอร์ดได้อย่างเห็นได้ชัด

จากนั้น หลังคืนวันที่ 8 กุมภาพันธ์ “นายจาตุรนต์” ทวีตข้อความแปลกๆ อาทิ “ผมไม่ได้ไปร่วมในเหตุการณ์วันที่ 8 กุมภา และยังไม่ได้แสดงความเห็นต่อเหตุการณ์ในวันนั้น มาเห็นข่าวเพื่อนนักการเมืองพูดถึงเหตุการณ์วันนั้นว่า “ยิ่งกว่ามีความสุข” แล้ว ผมไม่สบายใจเลย ไม่สบายใจจริงๆ ครับ”

ทำให้มีคนเมนชั่นเข้าไปทั้งให้กำลังใจ ซักถาม และต่อว่า ว่า “นายจาตุรนต์” ทิ้งเพื่อน

แต่ต่อมา “นายจาตุรนต์” ก็ทวีตข้อความหนึ่งว่า “รู้สึกวาทกรรม “เห็บกระโดด ตอนหมาจะตาย” ทำท่าจะฮิต อยากจะบอกแบบสบายๆ ว่า ผมไม่คิดว่า ทษช.จะถูกยุบง่ายๆ แต่ถ้าถูกยุบจริงๆ ผมจะอยู่จนถึงวันยุบเป็นคนสุดท้าย เหมือนที่เคยทำมาแล้วที่ไทยรักไทยครับ เห็บกระโดดที่ไหนกัน”

แต่ถึงแม้ “นายจาตุรนต์” จะทวีตออกมาในลักษณะนี้ แต่วันที่ 2 ของการเข้าพรรคของ “คณะกรรมการบริหารเด็ก” ของพรรคไทยรักษาชาติ “นายจาตุรนต์” ก็ยังหายหน้าหายตาไปจากพรรค

ทั้งที่ “กรรมการบริหารเด็ก” โทร.เชิญเข้าร่วมประชุมเพื่อขอคำปรึกษาอยู่หลายสายแต่ก็ไม่มีทีท่าว่า “นายจาตุรนต์” จะมาช่วยให้คำแนะนำแต่อย่างใด

ทั้งที่ก็เห็นความเคลื่อนไหวทางทวิตเตอร์ของ “นายจาตุรนต์” อยู่ตลอด

จนกรรมการบริหารหลายคนถึงกับมีท่าทีจนถอดใจ

บางคนถึงขนาดบ่นว่าอาจจะต้องสู้กันไปเท่าที่มี และเท่าที่จะทำได้

ขณะที่แหล่งข่าวชั้นผู้ใหญ่ของพรรคแอบมากระซิบบอกกับเราว่า

“ท่านจาตุรนต์แกเสนอแกมบีบให้เด็กๆ กรรมการบริหารพรรคลาออก เพื่อแสดงความรับผิดชอบ แต่หลายคนมองว่า กรรมการบริหารพรรคทำตามขั้นตอน กระบวนการ และตามกฎหมายทุกอย่าง ทำไมถึงจะต้องลาออกด้วยเหตุผลว่าทำผิด ก็พวกเขาไม่ได้ผิดอะไรเลย”

ดึกของวันที่ 12 กุมภาพันธ์ “นายจาตุรนต์” และ “นายณัฐวุฒิ” แจ้งหมายผ่านนักข่าวบางคนว่า จะเข้าพรรคเพื่อแถลงข่าวบางอย่าง จากนั้นวันที่ 13 กุมภาพันธ์ “นายจาตุรนต์-นายณัฐวุฒิ-นายพิชัย” พร้อมด้วยสมาชิกพรรคฝั่งเสื้อแดงเข้ามาแถลงข่าวที่พรรคโดยประกาศยุติกิจกรรมจากส่วนกลาง เช่น เวทีปราศรัย และกิจกรรมการรณรงค์หาเสียงที่ต้องพบประชาชนจำนวนมาก เพื่อติดตามสถานการณ์จากศาลรัฐธรรมนูญ (ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีมติว่าจะรับคำร้องของ กกต.หรือไม่) จนเคลียร์ก่อน และแม้นายจาตุรนต์และนายณัฐวุฒิจะปฏิเสธว่าไม่ใช่การลอยแพคณะกรรมการบริหารพรรค แต่การประกาศยุติกิจกรรมจากส่วนกลางภายใต้การนำของนายจาตุรนต์และนายณัฐวุฒิ ก็ทำให้เห็นภาพรอยร้าวในความสัมพันธ์ของคนในพรรคไทยรักษาชาติได้ไม่มากก็น้อย

วันถัดมา 14 กุมภาพันธ์ คณะกรรมการบริหารพรรคไทยรักษาชาติ ยังคงใจดีสู้เสือ ลงพื้นที่หยั่งเสียงประชาชนในเขตสวนหลวง-ประเวศ ว่าจากนี้ขนาดกรรมการบริหารพรรครวมถึงผู้สมัครของพรรคควรจะเดินหน้าต่อหรือไม่

ซึ่งบรรยากาศในพื้นที่ประชาชนให้กำลังใจอย่างมาก ทำให้คณะกรรมการบริหารพรรคให้สัมภาษณ์ว่าจะเดินหน้าต่อ

แต่ช่วงบ่ายความหวังสุดท้ายของคณะกรรมการบริหารพรรคก็ปลิวหาย เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องของ กกต. พิจารณายุบพรรคไทยรักษาชาติ โดยศาลให้เวลาพรรค 7 วัน ในการยื่นพยานหลักฐานชี้แจง

ทำให้วันรุ่งขึ้นคณะกรรมการบริหารพรรคไทยรักษาชาติต้องกลับลำแถลงข่าวยุติกิจกรรมในส่วนของกรรมการบริหารพรรคทั้งหมด เพื่อใช้เวลาในการต่อสู้คดี

แต่ยังคงเปิดช่องให้ผู้สมัครของพรรคลงพื้นที่หาเสียงต่อได้ โดยให้ผู้สมัครใช้ดุลพินิจตัดสินใจเองได้เลย

ระหว่างที่คณะกรรมการบริหารและฝ่ายกฎหมายของพรรคไทยรักษาชาติ เดินหน้าเตรียมชี้แจงพยานหลักฐานในการสู้คดีอย่างเต็มที่ “นายจตุรนต์” ก็กลับมานั่งเป็นหัวโต๊ะให้อีกครั้ง

ขาดแต่ก็เพียงนายณัฐวุฒิและนายพิชัยที่จนถึงวันนี้ยังหายหน้าหายตาไปจากพรรค

ขณะเดียวกันผู้สมัครและสมาชิกในแต่ละพื้นที่ยังคงใจสู้เดินหน้าทำพื้นที่ต่อไม่หยุด โดยผู้สมัครหลายคนได้พร้อมใจกันสะท้อนมายังพรรคว่า ประชาชนที่ให้การสนับสนุนยังคงต้องการเห็นผู้สมัครและแกนนำของพรรคลงพื้นที่ไปพบ และไปชี้แจงเรื่องราวต่างๆ ให้แก่ประชาชนในพื้นที่อยู่ พรรคไม่ควรทอดทิ้งผู้สมัครและสมาชิกให้รู้สึกเคว้งคว้างแบบนี้!

ทำให้กรรมการบริหารพรรคไทยรักษาชาติ พร้อมด้วยนายจตุรนต์ต้องกลับมานั่งถกถึงท่าทีของของพรรคกันอีกครั้ง

โดย “ร.ท.ปรีชาพล” ระบุว่า ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคสามารถลงพื้นที่หาเสียงได้ตามปกติ แต่ขออย่าให้มีการพูดเรื่องการยุบพรรคกับประชาชนในพื้นที่ เพราะจะพูดเรื่องนี้กันเฉพาะในศาลเท่านั้น จะไม่มีการพูดเรื่องนี้กันนอกศาลเด็ดขาด

จากนั้นได้มีการเรียกผู้สมัคร ส.ส.กทม.ของพรรคซึ่งสามารถเข้าพรรคได้ง่ายมาพูดคุยหารือ และให้กำลังใจกัน จนได้ข้อตกลงว่าผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคไทยรักษาชาติเดินหน้าลงพื้นที่พบปะกับประชาชนต่อ

ขณะที่ “นายจตุรนต์” ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรคจะมาเป็นแม่ทัพให้ ในระหว่างที่กรรมการบริหารพรรคยังไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากมุ่งสู้คดีแก้ข้อกล่าวหาให้พรรครอดจากการถูกยุบ

มาถึงวันนี้ไทยรักษาชาติตัดสินใจเดินหน้าต่อแม้ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นไปในทิศทางไหน

บางคนกลัวก็ชิ่งหนี

บางรอยร้าวที่บางคนรู้สึกกับพรรคก็ยอมยุติลงได้เพื่อหันหน้ามาช่วยกันให้พรรครอด ส่วนบางคนที่ยังรู้สึกว่ายังร้าวอยู่ ก็ต้องให้เวลาเยียวยาหัวใจ แล้วฮึดกลับมาสู้ด้วยกันใหม่

เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว…