ประวัติศาสตร์ของ “เชลซี” บอกอนาคต “เมาริซิโอ ซาร์รี่”

เชลซีของ “เมาริซิโอ ซาร์รี่” กลายเป็นทีมที่ขาดความอันตราย ไร้ความสม่ำเสมอ และแทบจะหมดลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกไปแล้ว

ปัญหาของเชลซีเริ่มส่อแววตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นมา แพ้ “อาร์เซนอล” 0-2 ทั้งๆ ที่ช่วงนั้นทีมปืนใหญ่ฟอร์มไม่ได้ดีเลย

สัญญาณตอนนั้นอาจจะยังไม่ชัดนัก เพราะในฟุตบอลถ้วย ทีมสิงโตน้ำเงินครามยังกรุยทางเข้ารอบชิงชนะเลิศลีกคัพ และเข้ารอบ 5 เอฟเอคัพได้สำเร็จ

แต่การโดน “บอร์นมัธ” ที่เป็นรองถล่ม 4-0 ต่อเนื่องด้วยการบุกไปโดน “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” ขยี้ 6-0 และยังไม่สามารถยิงประตูในการเล่นเกมเยือนได้เลยตั้งแต่ปีใหม่

เกมกับซิตี้ทำให้เห็นภาพชัดว่าซาร์รี่อยู่ในช่วงวิกฤต เก้าอี้ร้อนฉ่า เพราะนอกจากจะแพ้เละแล้ว อันดับยังรูดจากที่ 4 ลงไปอยู่อันดับ 6 ของตาราง หลุดจากพื้นที่โควต้ายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ไปแบบน่าตกใจ

เพราะก่อนหน้านี้ทิ้งห่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มาอยู่ในอันดับ 4 ถึง 11 แต้ม

REUTERS/Hannah McKay

“ซาร์รี่ บอล” แผนการเล่นของซาร์รี่ที่เขาสร้างมันให้โดดเด่นเหลือเกินกับ “นาโปลี” และกับเชลซีในช่วงครึ่งแรกของฤดูกาล มันมีทั้งความเร็วบนเกมรุก การเพรสซิ่งคู่แข่ง การสลับตำแหน่งอย่างรวดเร็ว และการเล่นบอลหนัก

ทำให้เชลซีเป็นหนึ่งในทีมที่อันตรายมากมาช่วงหนึ่ง

แต่เมื่อคู่แข่งเริ่มจับทางได้ ความร้อนแรงก็เริ่มลดลงไป

และกุนซือชาวอิตาเลียนก็ไม่ได้มีแผนสำรองที่ดีที่จะพาทีมกลับมาได้อย่างที่ควรจะเป็น

ซาร์รี่ถูกวิจารณ์ว่าเป็นกุนซือที่ยึดติดกับอะไรเดิมๆ แผนเดิมๆ นักเตะเดิมๆ “จอร์จินโญ่” มิดฟิลด์คู่บุญถูกดึงมาจากนาโปลี มาทับตำแหน่งกับ “เอ็นโกโล่ ก็องเต้” ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นมิดฟิลด์ตัวรับที่เก่งที่สุดในโลกยุคนี้

ซาร์รี่ดันก็องเต้เล่นในตำแหน่งที่สูงขึ้น และให้จอร์จินโญ่เป็นคนคอยตัดบอล จ่ายบอล เรียกได้ง่ายๆ ว่าเกมตรงกลางจะเป็นหน้าที่ของจอร์จินโญ่เป็นหลัก ก็องเต้ก็คอยพาบอลขึ้นข้างหน้าและเล่นเกมรุกให้มากขึ้น

ขณะที่ “เอเดน อาซาร์” อันตรายในตำแหน่งกองหน้ากึ่งปีก แต่กลับถูกโยกให้มาเล่นกองหน้าตรงกลาง เพราะความไม่ไว้ใจความคมของ “อัลบาโร่ โมราต้า” และ “โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์”

เมื่อก็องเต้ไม่ได้ถนัดเล่นเกมรุก และอาซาร์ไม่ได้เกิดมาเพื่อยืนเป็นกองหน้าตัวกลาง ทำให้นักเตะระดับเวิลด์คลาสหมดความอันตรายไปมากทีเดียว

ส่งผลให้ทีมย่ำแย่ไปด้วย ถึงแม้จะได้ “กอนซาโล่ อิกัวอิน” ที่เคยเป็นศิษย์รักในทีมเก่านาโปลีมาเสริมแนวรุกอีกคน แต่กองหน้าอาร์เจนไตน์ไม่เคยมีประสบการณ์ในพรีเมียร์ลีก จะมาหวังให้ยิงโป้งป้างตั้งแต่ไม่กี่นัดแรกที่ลงเล่น อาจจะเสี่ยงเกินไป

อีกปัญหาใหญ่คือ เขาไม่ยอมรับว่าทัศนคติของนักเตะต่อตัวเองเสียไปพักใหญ่แล้ว นักเตะไม่มั่นใจตัวซาร์รี่ เข้าไม่ถึงแผนที่เขาอยากจะให้เล่น ซึ่งซาร์รี่รู้ดีว่าบรรยากาศในห้องแต่งตัวแย่ แต่แค่พยายามไม่ยอมรับก็เท่านั้น

“งานโค้ชมันก็เป็นงานที่เสี่ยงอยู่แล้ว” ซาร์รี่ยอมรับหลังจบเกมแพ้แมนฯ ซิตี้เละเทะ

(Photo by Oli SCARFF / AFP) / RESTRICTED TO EDITORIAL USE. No use with unauthorized audio,

ถ้ามองย้อนในอดีตช่วง 10 กว่าปีหลัง ถ้าสถานการณ์เป็นแบบเดียวกับที่เกิดขึ้นตอนนี้ ซาร์รี่คงอยู่กับทีมได้อีกไม่นาน “โชเซ่ มูรินโญ่, หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่, อังเดร วิลลาส โบอาส” เจอกับความยุ่งเหยิงมาแล้ว ทั้งความกดดันจากประธาน บอร์ดบริหาร และแฟนบอล ขณะที่นักเตะก็รวมหัวกันต่อต้าน จนเกิดเป็นเหตุการณ์ “บอลไล่โค้ช” ให้เห็นกันอยู่บ่อยๆ แล้วก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งในอีกไม่นาน

ตอนนี้อาจจะยังไม่ชัดว่าแข้งสิงโตน้ำเงินครามกำลังทำแบบนั้นหรือไม่ แต่ผลงานที่ออกมาค่อนข้างจะเอนเอียงไปแบบนั้น

บ่อยครั้งที่โรมัน อับราโมวิช ประธานสโมสร เลือกปลดผู้จัดการทีม แล้วหาคนใหม่เข้ามาทำทีมแทน เชลซีมักจะกลับมามีแชมป์ติดมือ ปี 2011 จากโบอาสมาเป็น “โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ” ปีนั้นได้ทั้งแชมป์เอฟเอคัพและแชมเปี้ยนส์ลีก 2013 “ราฟา เบนิเตซ” ไม่ได้รับการต่อสัญญาหลังการมาทำหน้าที่ชั่วคราว และเป็นมูรินโญ่กลับมารอบสอง พาทีมเป็นแชมป์ลีก

อับราโมวิชอดทนไม่เก่ง เป็นเรื่องที่รู้กันดี และหลายคนก็โดนปลดทั้งๆ ที่ทำงานมาได้แค่ 8-9 เดือน

คงไม่แปลกอะไรถ้าซาร์รี่จะตกงานในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้