เปิดใจลูกฉลอง ภักดีวิจิตร กับละครบู๊รุ่นใหม่ งาน “ลูกผสม” เลิกเอะอะยิง เอะอะระเบิด

พอ 3 พี่น้องสกุลภักดีวิจิตรเปิดตัวด้วยละคร “อังกอร์” รีเมกงานของพ่อ คือ ฉลอง ภักดีวิจิตร แล้วประสบความสำเร็จอย่างงาม แก้ว บุญจิรา ผู้เป็นลูกสาวคนเดียว เป็นคนกลางระหว่างพี่ คือ กอล์ฟ-กัญจน์ และน้องคือ กู๊ด-เฉิด ก็ว่า สิ่งที่พวกเธอได้เจอก็คือเสียงเรียกร้องจากแฟนๆ ให้นำละครของพ่อมารีเมกอีกครั้ง

“จริงๆ เพิ่งปิดกล้องลิขิตแห่งจันทร์ไป” แก้วเล่า โดยว่าละครที่สร้างจากบทประพันธ์ที่พล็อตเรื่องขึ้นมาใหม่เรื่องนี้เป็นละครที่ออกแนวโรแมนติก ผสมคอเมดี้ แต่ก็มีบู๊และผีหลอนๆ

เอิ่ม, อันที่จริงเรียกว่าเป็นงานครบรสอาจจะง่ายกว่า

ทั้งนี้ เธอยังคาดด้วยว่า ละครที่เพื่อน-คณิน ชอบประดิถ กับน้ำตาล-พิจักขณา วงศารัตนศิลป์ แสดงเรื่องนี้ อาจจะได้ออกอากาศราวๆ เดือนมิถุนายน ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3

ถัดจากนี้ก็จะตามใจแฟนๆ ที่เรียกร้องให้นำงานพ่อมาทำซ้ำ ด้วยการทำเรื่อง “ระเริงชล” ให้ป๊อป-ฐากูร การทิพย์ กับมิว-ลักษณ์นารา เปี้ยทา แสดง

อย่างไรก็ดี ทายาทของผู้กำกับการแสดงคนดังออกตัวไว้ก่อนว่า ผลงานของรุ่นลูกนั้นคงจะออกมาต่างกับที่พ่อเคยทำ

“เพราะตอนที่พ่อสร้างไว้เป็นยุคมิตร (ชัยบัญชา) เพชรา (เชาวราษฎร์) เรายังไม่เกิด มันนานเกินไป” แก้วซึ่งเกิดในปี พ.ศ.2519 ขณะ “ระเริงชล” ของฉลองถูกสร้างในปี พ.ศ.2515 บอกพลางยิ้ม

เวอร์ชั่นใหม่จึงต้องปรับทั้งประเภทกีฬาทางน้ำที่มีระบุไว้ในเรื่อง ขณะเดียวกันต้องเพิ่มตัวละคร และเติมเนื้อหาให้เรื่องราวมีความซับซ้อนและยากขึ้น จะได้เข้ากับรสนิยมคนดูในปัจจุบัน

นอกจากนั้นก็ยังคิดๆ ว่าจะทำเรื่อง “ระย้า” ด้วยดีไหม

“มีคนเรียกร้องให้ทำเยอะมาก อยากให้ทำละครแนวบู๊ผจญภัยของพ่อ “ขุมทรัพย์แม่น้ำแคว” นี่ก็เยอะ” เธอเล่า

ซึ่งเอาเข้าจริง หลังจากหารือกันในหมู่พี่น้องที่ร่วมมือกันทำละครในนาม “อาหลองจูเนียร์” “เราก็คงต้องทำละครแนวนี้แหละ” เธอว่า

“เพราะอยู่ในเมืองก็ไม่ค่อยคุ้นเคย เราอยู่ในป่า เขา ถ้ำ จนชิน รู้สึกว่าจะทำแนวนี้ขึ้น คือถ้าให้เราทำละครในกรุงเทพฯ ก็ดีใจนะ แต่มีอยู่วันหนึ่งที่ถ่ายลิขิตแห่งจันทร์แล้วเข้าห้าง ทุกคนแปลกใจมากว่านี่เราเข้าห้างกันเหรอ มีแอร์ด้วยนะ งงมาก ปรับตัวไม่ทัน ไม่คุ้นเลยกับการทำงานที่ไม่มีป่าล้อมรอบ” เล่าแล้วเจ้าตัวก็หัวเราะ

“เพราะเราอยู่กับป่าเขามาตั้งแต่ยังเด็กๆ อยู่กับกองถ่ายพ่อ”

จากประสบการณ์ที่เคยเห็นตอนนั้น มาถึงการลงมือทำในตอนนี้ แก้วบอกว่า “ยุคสมัยนี้ความต้องการของคนดูเปลี่ยนไป”

ตอนนี้เราเดาใจคนดูไม่ได้ ว่าเขาต้องการดูอะไร ก็ทำได้แค่ใส่เหตุการณ์มากที่สุด ดำเนินเรื่องดีที่สุด ไม่ยืดเยื้อ ก็น่าจะดี”

“อย่างฉากเดิน เราจะให้เขาเดินอย่างเดียวไม่ได้ เขาอาจจะต้องคุยกัน เรื่องที่คุยก็ต้องเป็นเรื่องที่นำมาต่อยอดในฉากต่อไปได้ หรือคำที่คุยกันก็ต้องมีความสนุก ต้องใส่สีสัน และต้องมีเหตุผลว่าใส่ไปแล้วคนดูจะเชื่อไหม อะไรที่ไม่มีเหตุผลของตัวละคร ถ้ามันเกินจริงมาก ก็ต้องตัดทิ้ง”

นี่เป็นตัวอย่างคร่าวๆ ของความเปลี่ยนแปลงที่คนทำเล่า

ยังบอกอีกว่า ถ้าเทียบกับละครประเภทอื่นๆ แล้ว ละครบู๊ดูเหมือนจะเป็นประเภทของละครที่มีคนทำน้อย และสำหรับพวกเธอเองแม้จะคลุกคลีกับละครแนวนี้มานาน คลุกคลีมาตั้งแต่เด็ก หากก็ไม่กล้ามั่นใจหรือยืนยันได้ ว่าจะเป็นกลุ่มที่ทำละครแนวนี้ได้ดีที่สุด

“เราไม่มั่นใจในเรื่องนั้น”

“เพียงแต่มั่นใจว่ายังมีคนที่อยากดูละครบู๊อยู่แน่นอน”

“แต่ยังไงก็ตาม เราก็ไม่ใช่ว่าจะทำละครบู๊ 100% นะคะ” เธอออกตัว

เพราะ “ในละครที่เราบอกว่าเป็นบู๊ ก็มีคอเมดี้ มีดราม่าเป็นส่วนผสมในเรื่อง คือต้องทำเรื่องรัก ขำ ใส่เข้ามา แต่ตอนพ่อทำ นั่นบู๊เต็ม 100 เลย เอะอะยิง เอะอะระเบิด”

ส่วนเหตุผลที่เธอเติมอารมณ์อื่นๆ เข้าไปในเรื่องน่ะหรือ คำตอบมีเพียงประการเดียวคือ ก็เพื่อจะดึงกลุ่มคนดูอื่นๆ ให้เข้ามาดูด้วยนั่นเอง