นาซีกับศิลปะ การกวาดล้างศิลปะเสื่อมทราม ของจอมเผด็จการ (จบ)

ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์

นโยบายทางศิลปะของนาซีคือการชำระล้างสิ่งสกปรกในความคิดของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นชาวยิว รักร่วมเพศ คนผิวดำ คนต่างด้าว ยิปซี

รวมถึงงานศิลปะที่จะนำไปสู่ความเสื่อม ที่จะต้องทำให้สะอาดหรือกำจัดทิ้งแบบเดียวกับเชื้อโรค

กลุ่มและกระแสเคลื่อนไหวทางศิลปะสมัยใหม่ที่ประสบภัยจากนโยบายของฮิตเลอร์นั้นมีมากมายอย่างคิวบิสม์ (Cubism) อิมเพรสชั่นนิสม์ (Impressionism), ดาด้า (Dada), เซอร์เรียลลิสม์ (Surrealism), โฟวิสม์ (Fauvism), เอ็กซ์เพรสชั่นนิสม์ (Expressionism), นิว อ็อบเจ็กทิวิตี้ (New Objectivity) ฯลฯ

ศิลปินในยุคสาธารณรัฐไวมาร์ อย่างออตโต ดิกซ์ (Otto Dix) ถูกนาซีหมายหัว ในฐานะศิลปินชั้นต่ำที่ทำให้ภาพลักษณ์ของสาธารณรัฐเสื่อมทราม

ออตโตดิกซ์, Sturmtruppe geht unter Gas vor (Stormtroops advancing under a gas
attack), 1924,ภาพพิมพ์โลหะ, ภาพจาก https://mo.ma/2Sd2PRs

เมื่อฮิตเลอร์เห็นภาพวาดของเขาเป็นครั้งแรก ก็ประกาศกร้าวว่า “มันเป็นความอัปยศอย่างมากที่เราไม่สามารถจับคนเหล่านี้เข้าคุกได้”

ดิกซ์ถูกกดดันให้ออกจากงานในสถาบันศิลปะ

ผลงานหลายชิ้นของเขาถูกเผา เขาถูกบีบบังคับให้เข้าร่วมในสภาวิจิตรศิลป์ของอาณาจักรไรซ์ ซึ่งอยู่ภายใต้ชายคาของกระทรวงวัฒนธรรม ในการควบคุมของโยเซฟ เกิบเบิลส์ (Joseph Goebbel) รัฐมนตรีกระทรวงข่าวสารและโฆษณาชวนเชื่อ ผู้เป็นเสมือนมือซ้ายของฮิตเลอร์ ดิกซ์ถูกบังคับให้สาบานว่าจะวาดแต่ภาพทิวทัศน์อันเรียบง่าย ไม่ก้าวร้าวรุนแรง

เขายังถูกบังคับให้วาดภาพเชิดชูอุดมการณ์ของลัทธินาซี เช่นเดียวกับศิลปินเยอรมันหลายคนในยุคนั้น

สถาบันศิลปะและการออกแบบอันเลื่องชื่อ ที่เป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาที่มีความสำคัญที่สุดทางด้านศิลปะและการออกแบบของโลกอย่างเบาเฮาส์ (Bauhaus) เป็นเหยื่ออีกรายที่ต้องปิดตัวลง เมื่อพรรคนาซีเริ่มขึ้นสู่อำนาจในปี 1931 และถึงแม้มันจะถูกเปิดขึ้นใหม่ในปี 1932 แต่เพียงหกเดือนให้หลัง นาซีก็ตามไปปิดมันลงอีกจนได้

สถาบันเบาเฮาส์ในเมืองเดสเซา,ภาพจาก zh-min-nan.wikipedia.org

หรือศิลปินนามธรรมคนสำคัญ ผู้สอนในสถาบันเบาเฮาส์ อย่างวาสซิลี คานดินสกี้ (Wassily Kandinsky) เองก็เป็นเหยื่ออีกคนที่ประสบภัยจากนาซี

โดยหลังจากที่สถาบันปิดตัวลง คานดินสกี้เองก็ต้องลี้ภัยจากเยอรมนีไปอยู่ฝรั่งเศส

ในช่วงปี 1937 นาซียึดภาพวาดของเขาจำนวน 57 ภาพในระหว่างปฏิบัติการกวาดล้าง “ศิลปะชั้นเลว” ตามนโยบายของฮิตเลอร์ ที่เกลียดชังศิลปะสมัยใหม่เข้าไส้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานศิลปะนามธรรมของคานดินสกี้ เหตุเพราะมันกระตุ้นให้คนใช้สมอง และเปิดโอกาสให้คนแสดงออกทางความคิดอย่างเสรี ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้นำเผด็จการอย่างฮิตเลอร์ไม่ต้องการ

คานดินสกี้ใช้ชีวิตและทำงานอยู่ในประเทศฝรั่งเศสจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต

เช่นเดียวกับศิลปินอย่างพีต มองเดรียน (Piet Mondrian), พอล คลี (Paul Klee) มักซ์ แอร์นส์ (Max Ernst), มาร์ก ชากาล (Marc Chagall), เอกอน ชีเลอ (Egon Schiele) และอื่นๆ อีกมากมาย ที่ต่างก็เป็นผู้ประสบภัยจากนาซีกันถ้วนหน้า

Composition VII (1913)สีน้ํามันบนผ้าใบ ภาพจากhttps://bit.ly/2dbMRP0

ในช่วงเวลาที่ฮิตเลอร์ครองอำนาจ นอกจากเขาจะสังหารชาวยิวเป็นจำนวนมหาศาลแล้ว เขายังสังหารศิลปวัตถุไปอีกเป็นจำนวนกว่าล้านชิ้น ทั้งเผาทำลาย หรือยึดเอาขายเป็นทุนรอนของพรรคนาซี

ในขณะที่ผลงานศิลปะคลาสสิคชั้นครูในยุคต่างๆ ก็ถูกกองทัพนาซีฉกฉวยจากพิพิธภัณฑ์และโบราณสถานต่างๆ ในยุโรปเอาไปเก็บซ่อนเอาไว้เพื่อหวังจะสร้างอาณาจักรศิลปะในฝันของฮิตเลอร์ขึ้นมา

(โชคดีที่มีหน่วยราชการลับเรียกว่า Monuments man” ซึ่งก็คือภัณฑารักษ์ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายอนุรักษ์งานศิลปะนานาชาติ รวมตัวกันตามกู้คืนงานศิลปะที่ถูกขโมยไปซุกซ่อนไว้กลับคืนมาได้จำนวนมาก จนมีงานรอดเงื้อมมือนาซีมาให้เราได้ดูชมกันหลายต่อหลายชิ้นในปัจจุบัน)

อาจกล่าวได้ว่า นาซีเป็นความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นจากความรู้สึกทางสุนทรียะของฮิตเลอร์ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ โครงการสร้างโลกใหม่ขึ้นมาตามรสนิยมทางศิลปะของเขานั่นเอง

“อ่านเกี่ยวกับ The Monuments Men ได้ในหนังสือ The Monuments Men: Allied Heroes, Nazi Thieves, and the Greatest Treasure Hunt in History โดย โรเบิร์ต เอ็ม. เอ็ดเซล หรือดูได้ในภาพยนตร์ The Monuments Men (2014) ที่กำกับฯ โดยจอร์จ คลูนีย์

อนึ่ง “สัญลักษณ์สวัสติกะ เครื่องหมายของพรรคนาซี และเป็นสัญลักษณ์ต้องห้ามที่เป็นตัวแทนของความชั่วร้ายในปัจจุบัน เดิมทีนั้นเป็นสัญลักษณ์ของอินเดีย หมายถึงกงล้อแห่งสุริยะ หรือดวงอาทิตย์ ชื่อ “สวัสติกะ” เองนั้นก็เป็นภาษาสันสกฤต แปลว่า พรหม เป็นคำอวยพรให้โชคดี เหมือนกับคำว่าสวัสดีของไทย

ธงของพรรคนาซี,ภาพจาก https://bit.ly/1TP0zdC

ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง สวัสติกะเป็นเครื่องหมายมงคลที่ถูกใช้ในทั่วโลก ทั้งในศาสนาฮินดู ศาสนาพุทธนิกายมหายาน ชาวอเมริกันพื้นเมือง ไปจนถึงในยุโรป มันถูกใช้ในธงกองทัพอากาศของฟินแลนด์ (ซึ่งยังคงใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน), เป็นตราลูกเสือของอังกฤษ, ว่ากันว่า รัดยาร์ด คิปลิง ซึ่งเป็นนักเขียนที่ชอบอินเดียมากก็เคยประทับตราสวัสติกะบนหนังสือเขาทุกปก ถูกใช้ในโฆษณา ใบปลิว หีบห่อบรรจุภัณฑ์ และร้านค้า จนเมื่อพรรคนาซีก้าวขึ้นสู่อำนาจในเยอรมนีและใช้สวัสติกะเป็นเครื่องหมายของพรรคในปี 1930

ฮิตเลอร์คิดเองเออเองว่าชาวอารยันในอินเดียเป็นรากเหง้าของชาวเยอรมัน ในอุดมคติของเขา เขาจึงขโมยสัญลักษณ์สวัสติกะมาใช้ โดยเอามาดัดแปลงให้มีความเรียบง่าย ใช้แต่สีแดง ดำ ขาว ซึ่งทำให้มีพลัง มีความกลมกลืน โดดเด่น เตะตา จดจำง่าย จนสัญลักษณ์นี้กลายเป็นเครื่องหมายของพรรคนาซีไปในที่สุด

(หรือแม้แต่สัญลักษณ์ของกองกำลังของนาซีอย่างเอสเอส (Schutzstaffel) ที่เป็นรูปสายฟ้าคู่ ก็เป็นอักษร Rune ของเยอรมนี ที่มีความหมายถึงดวงอาทิตย์ และชัยชนะเช่นกัน)

เครื่องหมายของกองกําลัง SS, ภาพจาก https://bit.ly/1I08f1H

ถ้าตัดประเด็นความเลวร้ายในประวัติศาสตร์ออกไป แม้แต่คนที่เกลียดนาซีก็ยังยอมรับว่านาซีเป็นหนึ่งในองค์กรที่มี Corporate Identity หรือ การใช้กราฟิกดีไซน์ในการสร้างอัตลักษณ์องค์กรที่แข็งแรงและทรงพลังที่สุดในโลก”

ในทางกลับกัน เมื่อผนวกกับพฤติการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และคร่าชีวิตผู้คนไปหลายล้านคนของนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเข้าไป จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมสัญลักษณ์สวัสติกะถึงเป็นสัญลักษณ์ต้องห้ามที่สร้างผลกระทบอย่างรุนแรงอื้อฉาวในวงกว้างทุกครั้งที่มันถูกหยิบขึ้นมาใช้

“ข้อมูลจากบทความ สวัสติกะ : มงคลและความชั่วร้าย หนังสือ ดีไซน์ + คัลเจอร์ เขียนโดยประชา สุวีรานนท์