ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์ / THE EXTRAORDINARY JOURNEY OF THE FAKIR

นพมาส แววหงส์

ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์

 

THE EXTRAORDINARY JOURNEY OF THE FAKIR

‘ฝันของคนยากไร้’

 

กำกับการแสดง  Ken Scott

นำแสดง  Dhanush  Berenice Bejo  Erin Moriarty  Barkhad Abdi  Gerarad Jugnot  Ben Miller

 

เป็นหนังที่แปลกสมชื่อ “การเดินทางสุดพิสดารของฟาคีร์”

ฟาคีร์ แม้จะมีต้นตอมาจากพวกมุสลิม แต่คำนี้ก็ใช้ในอินเดีย เรียกขานคนที่ใช้ชีวิตกลางถนน หาเงินเลี้ยงชีพด้วยการเล่นมายากล เสกคาถา ลอยตัว เป็นต้น

ตัวเอกที่เป็นคนเล่าเรื่องราวการผจญภัยที่พิสดารเหลือเชื่อนี้ มีชื่อว่า อชาตศัตรู ลาวัช ปาเทล (ดานุช ซึ่งเป็นชื่อคำเดียวที่ใช้ในวงการของพระเอกหนังแขก)

อชาตศัตรู ซึ่งมีชื่อเรียกย่อๆ ว่า “อาจา” เขาเดินเข้ามาในห้องที่มีเด็กสามคนที่ถูกตำรวจจับกุมมาและกำลังจะถูกส่งดำเนินคดี

เขาเริ่มด้วยการบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตขึ้นอยู่กับ “โอกาส” หรือเหตุบังเอิญที่จับพลัดจับผลูเข้ามาผันแปรพลิกชีวิตไป

อาจาเกิดในเมืองที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่ง คือมุมไบ เขาอยู่กับแม่ในสลัมลำพังสองคน โดยไม่เคยมีพ่อ และไม่ว่าจะพยายามคาดเดาหรือคาดคั้นถามแม่อย่างไร แม่ก็ไม่เคยยอมปริปากบอกว่าพ่อเป็นใครมาจากไหน

อาจาโตขึ้นกลางถนน และเรียนรู้วิธีหาเงินด้วยการเล่นกลนั่งลอยตัวในอากาศ และมายากลอื่นๆ รวมทั้งการลักเล็กขโมยน้อยเพื่อยังชีพ

ทรัพย์สินติดตัวอย่างเดียวคือวัว ซึ่งชาวฮินดูถือว่าศักดิ์สิทธิ์ต้องเคารพบูชาและขอพร

 

พอโตขึ้นหน่อย แม่บอกว่าจะเก็บเงินพาเขาไปปารีสเพื่อตามหาตัวพ่อ แต่ยังไม่ทันไร แม่ก็เสียชีวิตเสียก่อนที่ฝันอันสูงสุดจะกลายเป็นจริง

อาจาก็เลยสานต่อความฝันของแม่ด้วยการกวาดเถ้าอัฐิใส่ถุง ไปทำพาสปอร์ตปลอม เดินทางนั่งเครื่องบินไปปารีสโดยมีธนบัตรร้อยยูโรปลอมติดตัวไปด้วยเพียงใบเดียว

ตอนยังเด็ก อาจาเปิดนิตยสารไปเจอโฆษณาเฟอร์นิเจอร์ของอิเกีย เขาติดใจมากจนนำมาประดิดประดอยชิ้นงานต่างๆ ด้วยไอเดียที่ได้แรงบันดาลใจจากอิเกีย

ครั้นเมื่อมาถึงปารีส หลังจากเจอเข้ากับแท็กซี่ที่หลอกผู้โดยสารพาไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่ โดยหารู้ไม่ว่านักท่องเที่ยวคนนี้บ่มีไก๊ และเป็นนักต้มตุ๋นตัวยงเหมือนกัน อาจาก็อดใจไม่ได้ที่จะแวะเข้าห้าง ไปหาร้านของอิเกีย จะได้เห็นเฟอร์นิเจอร์ในฝันของตนกับตาเป็นครั้งแรก หลังจากได้ดูแต่ในนิตยสาร

ที่นั่นเองเขาก็ได้เห็นหญิงสาวในดวงใจ เป็นชาวอเมริกันที่มาทำงานในร้านอิเกียที่ปารีส และทำความรู้จักกับมารี (เอริน มอริอาร์ตี) ด้วยวิธีจีบสาวที่แหวกแนว สร้างสรรค์และชวนหัว

ในสภาพบ่จี๊ ไม่มีเงินติดตัวสักแดงเดียว นอกจากธนบัตรยูโรปลอมใบเดียว อาจาแอบเข้าไปนอนค้างคืนในตู้เฟอร์นิเจอร์ของอิเกียนั่นเอง

และตัว “โอกาส” หรือเหตุบังเอิญที่เขาพูดไว้ตั้งแต่แรก ก็เข้ามามีบทบาทสำคัญเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาอีกครั้ง นั่นคือ ในจำนวนตู้มากมายก่ายกองในร้าน เขาจำเพาะจะต้องเลือกเข้าไปนอนในตู้ที่ต้องนำไปส่งที่อังกฤษในรถบรรทุกสินค้า

นั่นเป็นตอนต่อมาของการผจญภัยอันเหลือเชื่อของแขกเล่นกลคนนี้

 

นอกจากต้องถูกมัดมือชก หรือถูกขังอยู่ในตู้ที่ถูกขนส่งไปโดยไม่รู้ตัว จนต้องพลาดนัดของหัวใจกับสาวสวยในฝันแล้ว อาจาก็ยังไม่ได้มีโอกาสทำความฝันของแม่ให้เป็นจริงในเมืองแห่งความรักนี้เลย

เขาเข้าอังกฤษโดยผิดกฎหมาย และโดนยึด “พาสปอร์ตปลอมตัวจริง” ไป และแปรสภาพเป็นผู้อพยพลี้ภัยจากลิเบียที่พยายามหลบหนีเข้ายุโรป

ฉากที่ตลกที่สุดในหนังเกิดขึ้นที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของอังกฤษ โดยมีเจ้าหน้าที่ ตม.อังกฤษหน้าตายและดำเนินเรื่องอย่างเถรตรงตามกฎระเบียบแบบที่เรียกว่า “เรดเทป” แต่เมื่ออยู่ดีๆ ฉากนี้ก็กลายเป็นการเต้นและร้องในแบบมิวสิเคิลของฮอลลีวู้ด หรือบอลลีวู้ด เอาดื้อๆ ไม่มีใครอดหัวเราะไม่ได้หรอกค่ะ ผู้เขียนได้หัวเราะดังๆ ก็ตอนนี้แหละ น่ารักมากเลยค่ะ

การเดินทางมหัศจรรย์ก็พาเขาไปในประเทศต่างๆ อีกหลายแห่ง ทั้งอังกฤษ สเปน อิตาลี และลิเบีย ทั้งในเครื่องบินที่ส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับประเทศ (ซึ่งไม่ใช่ประเทศต้นทางของผู้ลี้ภัยเสียด้วย) และในหีบห่อสัมภาระของซูเปอร์สตาร์ที่เดินทางอย่างสุดหรู

ชีวิตเหมือนฝันของคนยากจนก็กลายเป็นจริง และได้กระทบไหล่ดาราและคนเด่นคนดังในวงสังคม

 

อาจาไปประสบเข้ากับลาภลอยชิ้นใหญ่อีกชิ้น โดยอาศัยเล่ห์กลหลอกลวงอีกครั้ง และมีส้มหล่นใส่เป็นกระเป๋าบรีฟเคสยี่ห้อหรูที่บรรจุธนบัตรของแท้ถึงแสนยูโร

คราวนี้กระแสลมแห่งการเดินทางพาเขาไปตกกลางทะเลและต้องเจอเข้ากับปัญหาหนักหน่วง แต่ก็มีเกลอเก่าชื่อ วิรัช (บาร์กฮัด อับดี จากบทบาทที่น่าจดจำใน Captain Phillips) คอยให้การช่วยเหลือ

ในฉากที่แสดงความเป็นคนจิตใจดีงามและเห็นแก่คนอื่นมากกว่าเห็นแก่ตัว อาจาทำตัวเป็นเจ้าบุญทุ่มสำหรับผู้ยากไร้และผู้ด้อยโอกาส เนื่องจากนี่เป็นหนังตลกเบาสมองและเป็นเรื่องเล่าจากปากของตัวเอก การกระทำต่างๆ จึงไม่ต้องตั้งคำถามเลยว่า น่าเชื่อ เป็นไปได้ หรือสมจริงแค่ไหน

ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อมีคำถามว่าเรื่องที่เขาเล่านี่เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า เขาก็ตอบว่า “จริงในส่วนสำคัญๆ” เรื่องเล่าก็ต้องมีการใส่ไข่ใส่สีเพิ่มรสชาติอยู่แล้วเป็นธรรมดา ใครที่ว่าบางฉากบางตอนไม่น่าเชื่อ ก็พึงนึกไว้ว่านี่เป็นเรื่องเล่าจากเสียงของบุรุษที่หนึ่งเอกพจน์

 

ในช่วงต้นๆ ที่พระเอกดำเนินชีวิตด้วยการต้มตุ๋นหลอกลวง ลักขโมย ผู้เขียนก็อดนึกไม่ได้ว่านี่จะเป็นตัวอย่างไม่ดีสำหรับเยาวชนวัยคะนองให้เดินตามหรือเปล่า เพราะเป็นพระเอกแล้วทำอะไรย่อมไม่ผิด

แต่ขอให้ติดตามไปจนจบเถอะค่ะ หนังมีตอนสรุปจบที่เป็นเรื่องดีงาม มีศีลธรรมอยู่พร้อมมูล

โดยเน้นความสำคัญของ “การศึกษา” ที่จะเป็นสิ่งนำพาชีวิตออกจากวังวนเลวร้าย และมอบ “โอกาส” ให้แก่ผู้มีปัญญาในที่สุด

เด็กเกเรสามคนที่นั่งฟังเรื่องการเดินทางมหัศจรรย์ของอาจา ก็ได้รับ “โอกาส” นั้น แลกกับการถูกส่งตัวไปยังสถานพินิจที่กักกันคุมขังเยาวชนผู้กระทำผิด โอกาสนี้อาจเป็นหนทางดึงพวกเขาออกจากปลักแห่งความยากจนข้นแค้นจนต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการประกอบอาชญากรรม หรือก่อกรรมทำเข็ญกับคนอื่น

ผู้เขียนเข้าไปดูหนังโดยไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้มาก่อน จึงไม่มีความคาดหวังอะไรเลย และพบว่าหนังสนุกมาก แม้จะเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่แทบเป็นไปไม่ได้ในชีวิตจริง แต่ชื่อหนังก็บอกไว้แล้วว่าเป็นเรื่องราวสุดพิสดาร ไม่ใช่ดราม่าที่สร้างจากชีวิตจริง แถมโทนของหนังยังใส่สีสันของคอเมดี้แบบชวนหัว และมิวสิเคิลที่มีฉากเต้นและร้องแบบที่มีแต่ในบันเทิงคดีเท่านั้น

ฉากเต้นคู่ของดานุชกับเบเรนีซ เบโจ ก็เป็นอีกไฮไลต์หนึ่งของหนัง

 

จุดอ่อนที่อาจเป็นข้อด้อยที่ผู้เขียนอยากจะติติงอยู่หน่อย คือเรื่องราวความรักของพระเอกนางเอกที่เบาบางผิวเผินขาดน้ำหนักไปหน่อย

หนังเป็นความร่วมมือของนานาชาติ มีหลายประเทศเกี่ยวข้องอยู่ในคณะผู้สร้าง โดยมีผู้กำกับฯ เคน สกอตต์ สัญชาติแคนาดา

เป็นหนังที่ให้ความรู้สึกดีๆ และสนุกดีค่ะ ไม่ได้แบบที่โดนใจเปรี้ยงหรือตราตรึงนิ่งขึงตะลึงตะไล แต่ก็เป็นความบันเทิงชั้นดีเรื่องหนึ่ง