วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย/เสถียร จันทิมาธร /ภูตบูรพาเฒ่า ภูตบูรพาน้อย (178)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย/เสถียร จันทิมาธร

ภูตบูรพาเฒ่า ภูตบูรพาน้อย (178)

สิ้นคำประกาศ “ล้วนยกเข้ามา” ซึ่งดังติดต่อกันหลายทอด ณ ปากทางเข้าสนามประลองยุทธ์ก็มีผู้คนกลุ่มหนึ่งหนุนเนื่องเข้ามา

บ้างถือตะเกียงคบไฟ บ้างหาบคอน หิ้วตะกร้า บ้างแบกยกท่อนไม้ แผ่นไม้กระดาน

แยกย้ายกระจายไปโดยรอบสนามประลองยุทธ์ จัดแจงยกตั้งไม้ ปักหลักตอ ด้านนี้สร้างเวทีให้เวทีหนึ่ง ด้านนั้นแขวนโคมเป็นทิวแถว ผู้คนทยอยเข้ามาไม่ขาดสายแต่ก็อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

ทุกผู้คนล้วนสาละวนวุ่นวายอยู่กับการทำงาน มิมีผู้ใดเอ่ยกล่าววาจา

ผ่านไปไม่นาน เมื่อเวทีไม้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้สร้างเสร็จก็มีคนรัวม้าล่อเปิดการแสดงเป็นหุ่นเชิดเรื่อง “8 เซียนอวยพรวันเกิด” จากนั้นทางมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือก็มีคนเขียนคิ้วแต่งหน้าขึ้นเวที ร้องขับขานเป็นอุปรากรเรื่อง “มั่วซึ้งฮุก” เป็นเรื่องราวของก๊วยจื้องี้ 7 บุตรชาย 8 บุตรเขยพากันมาอวยพรวันเกิด

ขณะเดียวกัน ทางด้านนี้ก็มีคนจุดประทัด ทางด้านนั้นก็มีคนเล่นปาหี่ ทั่วทั้งสนามประลองยุทธ์อึกทึกครึกโครม สะท้อนสุ้มเสียงบันเทิง เริงรื่น เปี่ยมด้วยบรรยากาศแห่งความเป็นมงคล สุขสันต์กันพร้อมหน้า

อย่างเงียบๆ พี่น้องตระกูลซือก็นำเอาฝูงสัตว์ออกไป พร้อมๆ ยอดฝีมือและอินทรีวิเศษ

 

ก๊วยเจ๋งแม้รู้สึกว่าเอี้ยก่วยจัดงานใหญ่ให้แก่ธิดาคนเล็กออกจะเอิกเกริกมากเกินไป แต่เมื่อหวนนึกถึงที่แล้วมาเอี้ยก่วยเป็นคนช่างเพ้อฝัน พิสดาร วันนี้กระทำเรื่องสำคัญให้แก่เมืองเซียงหยางและพรรคกระยาจก

ยามนี้แม้คิดสร้างความอึกทึกวุ่นวายสักคราก็แล้วแต่เขา ดังนั้น เพียงลูบเครา สั่นศีรษะแย้มยิ้มโดยไม่กล่าวว่าอะไร

“บิดา ท่านกับก่วยยี้นัดหมายกันซ่อนตัวอยู่บนเสาธงหรือ” เป็นคำถามจากอึ้งย้ง

“มิใช่” เป็นคำปฏิเสธจากอึ้งเอี๊ยะซือ “เมื่อวันก่อนเราชมจันทร์ที่ทะเลสาบท่งเท้งพลันได้ยินผู้คนร้องเรียกกลางวิกาล มาเยือน “เฒ่าคันเบ็ดควันคลื่น” (อิงปอเกาโซ่ว) บอกว่า ชาวยุทธ์เจ้าอินทรีอะไรนั่นเชื้อเชิญเขาไปพบปะที่เมืองเซียงหยาง

เฒ่าคันเบ็ดควันคลื่นมีพลังฝีมือไม่ต่ำทราม นิสัยใจคอประหลาดพิกลอยู่บ้าง เราผู้เฒ่าเป็นห่วงขึ้นมากริ่งเกรงเขาประสงค์ร้ายต่อธิดาและเขยขวัญของเราจึงสะกดติดตามมา ที่แท้ชาวยุทธ์เจ้าอินทรีกลับเป็นสหายน้อยเอี้ยก่วย หากล่วงรู้แต่แรก เราผู้เฒ่าไยต้องกังวลใจไปเล่า”

อึ้งเอี๊ยะซือกวักมือต่อก๊วยเซียง ยิ้มพลางกล่าว “เด็กเอยเข้ามา ให้งั่วกงชมดูเจ้า”

ที่แท้ระหว่างตากับหลาน อึ้งเอี๊ยะซือกับก๊วยเซียง ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน จึงนับเป็นสถานการณ์ตื่นตาตื่นใจยิ่ง

 

ก๊วยเซียงรีบเข้าไปคารวะกราบกราน อึ้งเอี๊ยะซือฉุดดึงมือของนาง พิศดูเค้าใบหน้าโดยละเอียดแล้วกล่าวอย่างสะท้อนใจ

“ช่างคลับคล้าย ช่างคลับคล้ายนัก”

ได้ยินดังนั้นอึ้งย้งทราบดีว่าท่านผู้เฒ่านึกถึงภรรยาผู้ล่วงลับ บอกว่าก๊วยเซียงคลับคล้ายยาย (งั่วพั้ว) เมื่อวัยสาว กริ่งเกรงจะสะกิดความในใจบิดาจึงไม่เอ่ยปากต่อความ ขณะที่ก๊วยพู้ยิ้มพลางกล่าว

“ไหนเลยไม่คลับคล้ายได้ ท่านเรียกว่าภูตบูรพาเฒ่า นางเรียกว่าภูตบูรพาน้อย”

“พู้ยี้” ก๊วยเจ๋งตวาดดังลั่น “ไม่มีสัมมาคารวะต่องั่วกง”

ตรงกันข้าม อึ้งเอี๊ยะซือกลับยินดียิ่ง “เซียงยี้ เจ้ามีฉายาว่าภูตบูรพาน้อยหรือ”

ก๊วยเซียงหน้าแดงวูบ “ตอนนี้เป็นเจ้เจ๊เรียกหาข้าพเจ้าเช่นนี้ ภายหลังทุกผู้คนล้วนเรียกขานตาม”

ยามนี้ 4 ผู้อาวุโสพรรคกระยาจกห้อมล้อมอยู่ข้างกายเอี้ยก่วย

“เขาประกอบความดีความชอบให้แก่พรรค ทั้งช่วงชิงไม้เท้าตีสุนัขกลับมา เปิดโปงแผนอุบายของฮั่วตู ความแค้นของลู่ปังจู้ได้รับการชำระล้าง หากยินยอมเป็นปังจู้ พรรคเราก็ประเสริฐสุด”

 

คุณงามความดีทั้งหมดเป็นเพราะเอี้ยก่วยต้องการเป็นประมุขพรรคกระยาจก เป็นเพราะต้องการผลตอบแทนกระนั้นหรือ

ไม่ใช่หรอก

“เย่ลุกตั้วเอี้ยเปรื่องปราดทั้งบุ๋นและบู๊ กอปรด้วยเมตตาคุณธรรม เคยเป็นสหายผู้รู้ใจของข้าพเจ้า หากให้เขารับตำแหน่งปังจู้ต้องสามารถสืบทอดปณิธานของอั้งปังจู้ อึ้งปังจู้ และลู่ปังจู้ทั้ง 3 ได้”

เอี้ยก่วยรับมือกับสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี