เริ่มต้นกับความตาย บั้งไฟชีวิตของ “น้าเน็ก”

เป็นเพราะวันดีคืนดี เกตุเสพสวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา หรือที่คนส่วนใหญ่เรียกขานนาม “น้าเน็ก” ลงภาพของตัวเองภาพหนึ่งในอินสตาแกรมส่วนตัว พร้อมประกาศวันไหนที่เขาตายให้เลือกใช้ภาพนี้ตั้งหน้าศพ นั่นจึงเป็นที่มาของบทสนทนาด้วยความอยากรู้ชิ้นนี้

“ผมไม่ได้ซีเรียสเรื่องการตายสักเท่าไหร่ หลายๆ ครั้งเห็นคนตายไปอย่างกะทันหัน ไม่ได้เตรียมความพร้อมอะไรไว้ ทำให้คนที่มีชีวิตอยู่วุ่นวายมาก ผมเชื่อในการเตรียมพร้อมทุกอย่าง ยกตัวอย่างง่ายๆ กระเป๋าที่ผมติดตัวไปทำงานทุกวัน มันหนัก 10 กิโล ในนี้จะมีทุกอย่าง”

มีโทรศัพท์สำรองในกรณีที่เครื่องประจำแบตหมด มีมีด ปืน มีอุปกรณ์เดินป่า เข็มทิศ ยา เอกสารสำคัญอย่างบัญชีธนาคาร พาสปอร์ต เผื่อต้องเดินทางไปต่างประเทศกะทันหัน มีแม้กระทั่งปิ๊กกีตาร์ เผื่อว่าจะต้องเล่นขึ้นมาในนาทีใดนาทีหนึ่ง ฯลฯ

หลายอย่างที่พกไว้ ไม่เคยได้ใช้ แต่ “เหลือดีกว่าขาด ผมเชื่ออย่างนั้น”

และ “กระเป๋าใบนี้มันสะท้อนชีวิตผมเหมือนกันในการเตรียมพร้อม”

ที่ต้องเตรียมขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะเคยต้องการใช้อะไรแล้วหาไม่ได้ แต่ “ไม่ว่าเราจะมีทรัพย์สมบัติ ข้าวของอำนวยความสะดวกมากแค่ไหน แต่ถ้ามันไม่ได้อยู่กับเรา ของเหล่านั้นก็จะไม่มีความหมาย เพราะท้ายที่สุด ที่ที่เราอยู่ ณ ตอนนั้น คือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด”

ภาพถ่ายที่ถูกกำหนดก็เป็นหนึ่งในความเตรียมพร้อมดังว่า

ในวัย 50 ปี พิธีกรคนดังบอกว่า ณ วันนี้เขารู้สึกว่าตัวเองอยู่ก็ได้ ตายก็ไม่น่าเกลียด

“ผมไม่ได้เป็นคนที่มีความฝันว่าจะมีชีวิตยืนยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่เลย ผมพูดกับคนรอบข้างว่าอยู่สัก 55 กำลังดีแล้ว เพราะเชื่อว่าชีวิตยิ่งแก่ไป ยิ่งยากเย็น”

เพราะไหนจะสังขาร ไหนจะโรคภัย

“แล้วผมก็ไม่ได้อยากมีชีวิตเพื่อจะกอบโกยความสุขหรืออะไร ผมพอใจและชื่นชอบในแต่ละวัน เลยมีความรู้สึกว่า ไม่ต้องอยู่นานนี่หว่า แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมหมดอาลัยตายอยากนะฮะ ยังคงทำงานแบบมีแพสชั่น และยังคงทำงานหนัก ในยามที่มีชีวิตอยู่ ผมจะเต็มที่กับมันเสมอ”

น้าเน็กซึ่งเช็กสถิติการมีชีวิตของคนในครอบครัวย้อนไปถึงชั้นทวดแล้วพบว่าไม่มีใครอายุยืนยาวกว่า 65 ปี อีกทั้งที่ผ่านมาไม่ได้ดูแลสุขภาพของตัวเองนัก จึงมีความรู้สึกว่า เขาเองก็ไม่น่าจะแตกต่าง หากไม่ได้กังวล

“ผมเป็นพวกปัจจุบันนิยมมาก ชอบวันนี้เสียจนไม่มีเวลานึกถึงเมื่อวานหรือพรุ่งนี้เลย สิ่งที่เป็นมาตลอดคือผมพยายามทำตอนนี้ให้ดี สุดท้ายผมก็จะมีอดีตที่ดี แล้วก็พอจะการันตีได้ว่าน่าจะมีอนาคตที่ดี”

บั้งไฟชีวิตของ “น้าเน็ก”100 ล้านกับความสุข

ถามว่าถึงวันนี้เขายังมีความฝันใดที่คั่งค้างและอยากทำให้สำเร็จไหม?

“เป็นคำถามที่เคยตอบง่ายนะ” เขาบอกพลางยิ้มมุมปาก

“เมื่อ 15-20 ปีที่แล้ว ผมมีความฝันยาวเหยียดมาก สุดท้ายเมื่อชีวิตมาถึงจุดจุดหนึ่ง…เล่าอย่างนี้นะ ผมไปจัดสัมมนาพนักงานบริษัทหนึ่ง เริ่มต้นโดยให้ทุกคนเขียนสิ่งที่ต้องการ ความสุข ความทุกข์ใส่กระดาษ”

แผ่นหนึ่งมีข้อความว่า ถ้ามีเงิน 10 ล้าน มีรถ มีบ้าน คนในครอบครัวอยู่ดีกินดี เชื่อว่าชีวิตจะมีความสุข ไม่มีทุกข์อีกต่อไป

“อ่านแล้วผมบอกว่า ผมไม่ได้อวดนะ ผมมีทุกอย่างที่คุณต้องการ ผมไม่เห็นว่าชีวิตจะมีความสุขขึ้นเลย บางทีเราก็อยู่ในโลกของทุนนิยม ทุกคนเชื่อว่าเงินคือความสุข ก็อยากจะมี ผมบอกในที่ประชุมแห่งนี้กว่า 100 คน ผมโอนให้คุณคนละ 10 ล้านเลย แล้วคุณเชื่อไหมว่าคุณจะมีความสุขอยู่เดือนเศษๆ เท่านั้น จากการซื้อหา ปลดหนี้ ไม่ต้องกลุ้มใจกับการใช้เงินเดือนชนเดือน แล้วจากนั้นก็จะมีความทุกข์ใหม่ๆ”

“ผมอธิบายยาวๆ เพื่อตอบสั้นๆ ว่า เมื่อเวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน ความรู้สึกนึกคิดเปลี่ยน แก่นมันอาจจะเป็นเรา แต่สภาพแวดล้อมที่ห่อหุ้มเปลี่ยนไป สมัยเป็นพนักงานเงินเดือน 6,000-7,000 เงินมาปุ๊บมีทางออกทันที เหลืออยู่ในตัวไม่เกิน 300 บาท คิดไม่ออกเลยว่าจะอยู่ไปตลอดเดือนได้ยังไง แต่ก็อยู่รอดได้ อาศัยกินข้าวกอง เพื่อนหิ้วลูกชิ้นมาก็แอบกินเนียนๆ ก็อยู่ได้ แล้วก็มีความสุข”

“มาวันนี้ผมซื้อของไม่เคยต้องดูราคา แล้วไม่มีปัญหาเรื่องการใช้จ่ายอีกต่อไป แต่ผมกลับรู้สึกว่าตอนนั้นผมมีความสุขกว่า เพราะไม่มีภาระ ไม่มีหลายเรื่องที่ต้องแบกรับ ไม่มีฐานะทางสังคม ไม่มีอัตตาในความเป็นเราที่เราต้องรับผิดชอบ ในวันที่เงินเดือนเท่านั้นเราคิดน้อยมาก อยู่ยังไงให้รอดเท่านั้นเอง”

“ผมผ่านวันเหล่านั้นโดยการใช้ความฝันตื้นๆ หล่อเลี้ยงตัวเอง นั่งรถเมล์ไปทำงานก็มีปากกามาวางขอบหน้าต่างรถเมล์ รถจอดตรงไหนก็มอง ปากกาชี้รถคันไหนก็มโนว่าวันนี้ฉันขี่คันนี้ไป ถึงวันนี้ถ้าผมทำแบบเดิม ปากกาชี้ไปที่รถคันไหน ผมเชื่อว่าสามารถลงไปซื้อได้ทันที แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่ามีความสุข เปรมปรีดิ์ มันเหมือนตอนอยู่ตีนเขา เราก็อยากขึ้นสู่ยอดเขา”

“ชีวิตของผมทุกวันนี้คงเป็นยอดเขาสมมุติอะไรบางอย่าง และผมมีความรู้สึกว่า พอถึงวันหนึ่ง เราก็มีเรื่องที่กลัดกลุ้ม ที่ทุกข์ใจ ตามฐานานุรูปอยู่ดี”

บั้งไฟของชีวิต

ฟังแล้วเราก็ถามไปแบบตื้นๆ ว่า ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ทิ้งอะไรต่างๆ ที่แบกรับ แล้วหันไปใช้ชีวิตกับสิ่งที่มี เงินทองที่หาได้ และถ้าเป็นอย่างนั้นจะมีความสุขขึ้นไหม?

“มันไม่ง่ายขนาดนั้น” เขาตอบ

ก่อนถามกลับ เคยสงสัยไหม ทำไมมหาเศรษฐีหลายคนไม่ยอมหยุดทำงาน

จากนั้นก็บอกสิ่งที่อยู่ในใจ “ผมว่าท้ายสุดเราก่อสร้างอะไรมา เมื่อมันมีอยู่แล้ว เราจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้”

“ถ้าวันนั้นผมเป็นพนักงานเงินเดือน 6,000-7,000 บาท แล้วถูกหวย 150 ล้าน มันเป็นลาภที่ไม่ต้องก่อร่างสร้างขึ้น รับผิดชอบแค่จ่ายภาษีเท่านั้นเอง แต่กว่าจะมีวันนี้ กว่าจะมีชื่อเสียง ได้รับการยอมรับ กว่าจะได้รับความไว้วางใจจากผู้จ้าง ผู้จัด คนดู มันต้องเกิดจากการสั่งสม ทีมที่ดี หรืออะไรก็ตามแต่ สิ่งเหล่านี้เป็นอะไรที่เราละเลยและทิ้งไปไม่ได้”

“บางทีผมก็รู้สึกเหนื่อย ต้องออกจากบ้านก่อน 6 โมง 10 นาทีเพื่อไปถึงช่อง 3 ตอน 7 โมงเช้าทุกจันทร์ พุธ ศุกร์ ตอนกลางคืนจะพยายามข่มตาให้หลับ เพราะมันไม่หลับ ตอนเช้าก็พยายามเข็นตัวเองให้ตื่น เพราะมันไม่ตื่น มีความรู้สึกว่าทำไปทำไมวะ แต่สุดท้ายโดยอาชีพของผม มันต้องชาเลนจ์ตัวเองอยู่เสมอ ผมเป็นพิธีกรตลกโปกฮา เกมโชว์ วาไรตี้ วันหนึ่งผมมีความรู้สึกผมโตแล้ว ก็ต้องทำงานที่สมวัย จะมาหัวสี ผมทอง ไม่ได้”

“มีอยู่บ้างที่คิวงานสลับกัน แล้วผมไม่มีงาน เชื่อไหมผมช็อตเลย เคว้งคว้าง ไม่รู้จะทำอะไร ชีวิตผมผูกกับงานเสียจนแกะไม่ออก คนที่รู้จัก 90% ในชีวิต ก็รู้จักจากการทำงานทั้งนั้น”

“มาวันนี้ ผมบอกตัวเองว่า มันจะต้องขึ้นกว่าเดิมเรื่อยๆ อธิบายอย่างนี้แล้วกันนะฮะ สมมุติว่าเราจุดบั้งไฟ การจะบอกว่าบั้งไฟนี้ไปสูงสุดตรงไหน ต้องดูตอนที่หล่น ตราบใดที่ผมยังมีชีวิตอยู่ผมก็จะเหมือนบั้งไฟ ผลักดันตัวเองให้พุ่งขึ้นไป สุดที่ตาย พอคิดได้แบบนี้ผมก็ตั้งใจทำงานของผมมาก”

“ผมมีความรู้สึกว่าผมต้องทำมัน”