รายงานพิเศษ / บันทึก 8 กุมภาพันธ์ วันชี้ชะตาประเทศไทย กับบทบาท ‘บิ๊กแดง’ วัดใจแกร่ง ‘บิ๊กตู่’ แกะรอยปฏิวัติซ้ำ-รัฐประหารซ้อน

รายงานพิเศษ

 

บันทึก 8 กุมภาพันธ์

วันชี้ชะตาประเทศไทย

กับบทบาท ‘บิ๊กแดง’

วัดใจแกร่ง ‘บิ๊กตู่’

แกะรอยปฏิวัติซ้ำ-รัฐประหารซ้อน

 

ปรากฏการณ์ 8 กุมภาพันธ์ 2562 ที่ทำให้สถานการณ์การเมืองพลิกผันแบบยังไม่ทันข้ามคืน ตามมาด้วยความไม่แน่นอน และกระแสข่าวลือการรัฐประหารซ้อน

ทั้งๆ ที่บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบ ชนิดที่กองหนุนใช้คำว่า “หัวเราะทีหลังดังกว่า”

ในขณะที่พรรคไทยรักษาชาติ เสี่ยงต่อการถูกยุบพรรค และเสียรูปกระบวน และส่งผลกระทบถึงพรรคเพื่อไทย และพรรคเครือข่าย

ถึงขั้นที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ต้องทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ ให้ Chin up เชิดหน้าขึ้น แล้วเดินหน้าต่อไป ให้เรียนรู้จากอดีต แต่มีชีวิตอยู่กับวันนี้ และอนาคต สู้ๆ Life must go on.

เพราะหากย้อนกลับไปก่อนวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่ได้แสดงทีท่ากังวลหรือถอดใจ หรือเครียดใดๆ จากกระแสข่าวที่ว่า พรรคไทยรักษาชาติจะเสนอชื่อ “ทูลกระหม่อมหญิง” เป็นนายกฯ ของพรรค

แม้จะมีข่าวลือว่า พล.อ.ประยุทธ์ถอดใจ และอาจจะยอมถอย ไม่รับการเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐ

ตรงกันข้าม พล.อ.ประยุทธ์กลับส่งสัญญาณด้วยการประกาศว่า จะมีคำตอบในเวลา 9-10 โมงเช้า วันที่ 8 กุมภาพันธ์ และพร้อมที่จะทำงานกับนักการเมือง และพร้อมโดนอภิปรายซักฟอกในสภา

“ใครไม่มีความผิดร่วมทำงานกันได้หมด การเมืองก็คือการเมือง แต่มันอยู่ที่การบริหารจัดการ ถ้านายกฯ เป็นคนมีคุณธรรม มี authority ก็ไม่มีปัญหา ต่างให้เกียรติซึ่งกันและกันสำคัญที่สุด และไม่กังวลหากจะมีการอภิปรายซักฟอก เขาอาจจะไม่เข้าใจ ชี้แจงได้ก็จบ” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ที่สำคัญ พรรคพลังประชารัฐมีมติเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ แค่ชื่อเดียวด้วย โดยตัดชื่อนายอุตตม สาวนายน และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ออก

เย็นวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2562 บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย พี่รองแห่งบูรพาพยัคฆ์ เข้ามาพบ พล.อ.ประยุทธ์บนตึกไทยคู่ฟ้า และมีรายงานข่าวว่า มีการวิดีโอคอลคุยกับใครบางคนในต่างประเทศ ที่มีการยืนยันว่า ให้ พล.อ.ประยุทธ์เดินหน้าตามเดิม

โดยในเวลานั้น บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม พี่ใหญ่ เดินทางไปยุโรป โดยมีข่าวระบุว่า เป็นสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อพักผ่อนและรักษาสุขภาพ

เช่นเดียวกับบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. และเลขาธิการ คสช. ที่ก็เดินทางไปภารกิจต่างประเทศ ในฐานะ ผบ.ฉก.ทม.รอ.904

เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ก็ต้องการรู้ตื้นลึกหนาบาง เบื้องหน้าเบื้องหลังข้อเท็จจริงให้แน่นอน เพื่อประกอบการตัดสินใจในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ว่าจะเดินหน้า หรือจะถอย และก็ได้รับคำยืนยันจากปลายทางว่า เดินหน้าต่อไป

 

แล้ววันสำคัญก็มาถึง ในเช้าวันที่ 8 กุมภาพันธ์ เวลา 09.10 น. ทันทีที่พรรคไทยรักษาชาติ เสนอชื่อ “ทูลกระหม่อมหญิง” เป็นนายกฯ ของพรรค ในเวลา 09.15 น. พล.อ.ประยุทธ์ก็สวมหัวใจสิงห์ ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า ตอบรับคำเชิญเป็นนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐแล้ว อย่างไม่มีอะไรลังเล แถมปล่อยออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน

ส่งผลให้ในเวลานั้น ไม่มีใครมองแคนดิเดตนายกฯ คนอื่น แต่เกิดการจับคู่ชิงแคนเดิเดตนายกฯ ระหว่างแค่ “ทูลกระหม่อมหญิง” กับ พล.อ.ประยุทธ์เท่านั้น

แถมตลอดทั้งวัน พล.อ.ประยุทธ์เก็บตัวบนตึกไทยคู่ฟ้า ท่ามกลางกระแสข่าวลือจากนอกทำเนียบว่า พล.อ.ประยุทธ์จะถอยทัพ เปลี่ยนใจไม่ให้พรรคพลังประชารัฐไปเสนอชื่อต่อ กกต.

แต่ที่สุดแล้ว พรรคพลังประชารัฐก็เสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในช่วงบ่าย 13.30 น. ถือเป็นการสยบข่าวลืออย่างสิ้นเชิง

แถมทั้งในตอนเย็นวันนั้น ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์จะกลับบ้าน ได้เดินลงมาที่ด้านล่างตึกไทยคู่ฟ้า ก่อนที่จะขึ้นรถกลับ ได้ทำท่าเก๊กหล่อ โดยกางนิ้วโป้งและนิ้วชี้มาทาบที่ปลายคาง แล้วส่งยิ้มให้นักข่าวและช่างภาพที่ส่งเสียงตะโกนทักทายว่าเป็นยังไงบ้าง

โดยที่สีหน้าท่าทางของ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้บ่งบอกถึงความเครียดใดๆ อย่างที่มีข่าวลือหรือมีการถูกจับจ้อง แถมมีรอยยิ้มและมีแก่ใจที่เก๊กท่าให้ถ่ายรูป ซึ่งก็น่าจะเป็นการบ่งบอกว่า พล.อ.ประยุทธ์รู้ล่วงหน้าแล้วว่า เหตุการณ์ 8 กุมภาพันธ์ จะจบลงอย่างไร

โดยมีรายงานว่า ตลอดเวลาในช่วงวิกฤตนั้น พล.อ.ประยุทธ์มีการติดต่อพูดคุยกับ พล.อ.ประวิตร และโดยเฉพาะ พล.อ.อภิรัชต์ในต่างประเทศ ตลอดเวลา

โดยมีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย มีบทบาทในเรื่องการให้ข้อมูลเรื่องข้อกฎหมายต่างๆ อันเป็นทางออกของประเทศในดึกของวันนั้นด้วย

จนเป็นที่กล่าวขานกันในทำเนียบ ถึงบทบาทสำคัญของ พล.อ.อภิรัชต์ในการคลี่คลายสถานการณ์วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562 และประวัติศาสตร์ได้ถูกบันทึกไว้เช่นนั้น

แม้แต่กระแสข่าวที่ว่า พล.อ.อภิรัชต์เดินทางจากประเทศหนึ่ง พร้อมกับ “ทางออก” ในการแก้ไขปัญหาของวันนั้น จากนั้นเดินทางไปอีกประเทศหนึ่ง เพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้จบ

สายสัมพันธ์ที่ยาวนาน แนบแน่นระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อภิรัชต์ ในวันประวัติศาสตร์เช่นนี้ น่าจะเป็นดัชนีชี้วัดและตอกย้ำความไว้เนื้อเชื่อใจของพี่ตู่และน้องแดงได้เป็นอย่างดี

และเป็นการสยบข่าวลือ หรือความหวาดระแวงในใจใดๆ ของ พล.อ.ประยุทธ์ต่อการปฏิวัติซ้อน ที่เกิดขึ้นตามมาในคืนนั้นเป็นต้นมา ได้เป็นอย่างดี

แต่การเคลื่อนย้ายรถเกราะ และกำลังทหารจากทั้ง พล.ร.2 รอ. และรถสายพานลำเลียงพลจาก พล.ม.2 รอ. ไปทำการฝึกหน่วยทหารรักษาพระองค์ร่วมเหล่าทัพ 1-21 กุมภาพันธ์ ที่ลพบุรี กลับทำให้ข่าวลือรัฐประหารแพร่สะพัด แม้ว่าจะมีการติดป้าย “เพื่อการฝึก” ที่ข้างตัวรถก็ตาม

รวมทั้งการจับตามอง การที่ พล.อ.อภิรัชต์เชิญ พล.อ.ประยุทธ์ไปเยี่ยมชมการฝึกนี้ ในวันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ ที่ทำให้ฝ่ายร่ำลือจับตามองว่าจะมีปฏิวัติวาเลนไทน์ หรือว่าจะเป็นการตอกย้ำความเป็นพี่เลิฟน้องรักของพี่ตู่กับน้องแดง

แต่ที่ทำให้ข่าวลือยิ่งสะพัด ก็เมื่อมีการแพร่เอกสารราชกิจจานุเบกษาปลอม คำสั่งหัวหน้า คสช. ใช้อำนาจ ม.44 เมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2562 ปลดทั้ง พล.อ.อภิรัชต์ พ้น ผบ.ทบ. พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ พ้น ผบ.ทร. และ พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน พ้น ผบ.ทอ. แถมทำรูปแบบได้เหมือนมาก ก็ยิ่งทำให้ข่าวลือรัฐประหารซ้อนสะพัด

แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะยืนยันว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่จะย้าย ผบ.เหล่าทัพ เพราะถ้าจะย้ายจะต้องแจ้งก่อน และมีขั้นตอนการใช้ ม.44 ทำไม่ได้ ใช้ได้กับคนที่มีปัญหาเท่านั้น

พร้อมยืนยันในความสัมพันธ์แบบพี่น้องกับ ผบ.เหล่าทัพที่ยาวนานหลายสิบปี ยืนยันว่า สถานการณ์ความสัมพันธ์กับ ผบ.เหล่าทัพไม่ได้มีอะไรผิดปกติ ถ้าเราทำดี ก็เสริมซึ่งกันและกัน แต่ถ้าเราทำไม่ดี เขาไม่ชอบ เราก็ต้องยอมรับ…

พร้อมทั้งสั่งตรวจสอบหาต้นตอคนทำเอกสารปลอม ม.44 นี้ โดยเล็งไปที่ฝ่ายต่อต้าน คสช. ที่หวังสร้างความวุ่นวาย และตอกลิ่มให้ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อภิรัชต์ เกิดความหวาดระแวงกันเอง

ขณะที่ฝ่ายต่อต้าน คสช.ก็มองว่า เป็นฝีมือฝ่ายรัฐบาลเอง ที่ต้องการจะขู่ ผบ.เหล่าทัพ ไม่ให้คิดการใหญ่

สําหรับการรัฐประหารในยุคเปลี่ยนผ่านนี้ ไม่ใช่จะทำได้ง่ายๆ ด้วยกองทัพเพียงลำพังอีกต่อไป เพราะมีปัจจัยที่อยู่เหนือการควบคุมเข้ามาเกี่ยวข้อง

อีกทั้ง พล.ร.อ.ลือชัย และ พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ก็เป็นรุ่นพี่เตรียมทหาร 18 ที่ พล.อ.อภิรัชต์อาจไม่สนิทสนมมากถึงขั้นชวนวางแผนก่อการรัฐประหารได้

และถึงแม้ว่า วันนี้ พล.อ.อภิรัชต์จะเป็นทั้ง ผบ.ทบ., เลขาธิการ คสช., ผบ.กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยฯ แล้ว ยังเป็น ผบ.หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 904 (ผบ.ฉก.ทม.รอ.904) และเป็นนายทหารพิเศษประจำ ทม.รอ. ด้วยก็ตาม แต่ไม่สามารถจะสั่งใช้กำลังต่างๆ ของบางหน่วยได้ด้วยตนเองลำพัง

แต่แม้ว่า พล.อ.อภิรัชต์จะมีสถานะพิเศษกว่า ผบ.เหล่าทัพคนอื่น แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์กับ พล.อ.ประยุทธ์แปรเปลี่ยนไป

ต้องไม่ลืมว่า พล.อ.ประยุทธ์ ผบ.ทบ. มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการกรุยทางเติบโต และฝ่าฟันอุปสรรคให้ พล.อ.อภิรัชต์ มาตลอด ตั้งแต่การเจรจากับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ ในเวลานั้น ในการไฟเขียวให้ พล.อ.อภิรัชต์มาเป็น ผบ.พล.1 รอ. ขุมกำลังปฏิวัติกลางกรุง แล้วก็เป็นกำลังหลักในการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ของ พล.อ.ประยุทธ์

จนผลักดัน พล.อ.อภิรัชต์ให้เติบโตขึ้นมาเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 และเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 แม้ว่าในเวลานั้นจะชิงกับบิ๊กตู่น้อย พล.อ.กู้เกียรติ ศรีนาคา ผช.ผบ.ทบ. เพื่อนรัก ตท.20 น้องรัก พล.อ.ประวิตร ที่เป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 อยู่ก็ตาม

จนที่สุดก็ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 และเป็น ผช.ผบ.ทบ. และเป็น ผบ.ทบ. เมื่อ 1 ตุลาคม 2561 แบบนอนมา แถมทั้งก่อนหน้านั้น ได้ตั้ง พล.อ.อภิรัชต์เป็นประธานบอร์ดสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล

แต่ก็ต้องยอมรับว่า พล.อ.อภิรัชต์ถูกจับตามองว่า ในที่สุด เขาจะเดินตามรอยเท้าพ่อ บิ๊กจ๊อด พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ที่เคยเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ ในนาม รสช. เมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2534 หรือไม่ และหากจำเป็นต้องรัฐประหารในอนาคต  เขาจะเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่

ด้วยเพราะไม่มีใครรู้ว่า หลังการเลือกตั้ง สถานการณ์จะเป็นอย่างไร เพราะต้องปรับเปลี่ยนตามคะแนนเสียงของประชาชน และอาจสุ่มเสี่ยงต่อการรัฐประหาร

ทั้งการรัฐประหารซ้ำ ที่ยืดอายุรัฐบาล คสช.ของ พล.อ.ประยุทธ์ หรือที่เรียกว่า ปฏิวัติตัวเอง ให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้นับ 1 ใหม่

หรือการปฏิวัติซ้อน เพื่อล้ม พล.อ.ประยุทธ์ที่อยู่มา 5 ปีแล้ว และนำมาซึ่งการมีรัฐบาลแห่งชาติ หรือรัฐบาลพิเศษ ที่จะมีนายกฯ คนนอก หรือนายกฯ แบบพิเศษ ที่มีการเล็งๆ กันไว้แล้วว่า นายกฯ ในเวลานั้น จะเป็นใคร หากเกิดสถานการณ์เช่นนั้นขึ้นจริง

แต่ในเวลานี้ พล.อ.อภิรัชต์ปฏิเสธข่าวการรัฐประหารใดๆ แต่เดินหน้าสู่การเลือกตั้ง และการจัดพระราชพิธีสำคัญอย่างสมพระเกียรติ และการเป็นประธานอาเซียน ที่ต้องจัดการประชุมมากมาย และดูแลความปลอดภัยผู้นำประเทศ แบบที่เรียกว่า งานเต็มมือทหาร เลยทีเดียว

แต่ปรากฏการณ์ 8 กุมภาพันธ์ เรื่อยมา ส่งผลให้ พล.อ.อภิรัชต์รู้ตัวแล้วว่า ตัวเขาเองถูกจับจ้องเขม็งแค่ไหน และมีอะไรรออยู่เบื้องหน้า

ชะตาฟ้าลิขิตไว้แล้ว…