ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 - 21 กุมภาพันธ์ 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | กรองกระแส |
เผยแพร่ |
กรองกระแส
บุคคล กับ พรรค
ความสัมพันธ์ อัน ซับซ้อน
สะท้อน ทิศทางต่อสู้
การนำเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีผลอย่างสูงต่ออนาคตพรรคพลังประชารัฐ การนำเสนอชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีผลอย่างสูงต่ออนาคตพรรคประชาธิปัตย์ การเสนอชื่อ นายอนุทิน ชาญวีรกูล มีผลอย่างสูงต่ออนาคตพรรคภูมิใจไทย
เพราะหลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยอมรับข้อเสนอ พรรคพลังประชารัฐก็เคลื่อนไหวคึกคักถึงกับภาพของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คู่กับผู้สมัครของตน
ภาพเช่นนี้เกิดขึ้นกับพรรคประชาธิปัตย์ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ภาพเช่นนี้ก็เกิดขึ้นกับพรรคภูมิใจไทยที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล
นี่จะหมายความว่าบทบาทของตัวบุคคลมีอิทธิพลเป็นอย่างสูงต่อชัยชนะหรือพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้งอย่างนั้นหรือ
เป็นความจริงที่แม้กระทั่งพรรคอนาคตใหม่ก็ต้องยอมรับ เพราะภาพที่วางเรียงเคียงข้างอยู่กับภาพของผู้สมัครพรรคอนาคตใหม่ก็มีภาพของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ทำให้มองเห็นว่าการดำรงอยู่ในฐานะหัวหน้าพรรคของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ทำให้สีสันของผู้สมัครสดใสกาววาวมากขึ้น
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้บทบาทของพรรคการเมืองจะเป็นเรื่องของกรรมการบริหาร จะเป็นเรื่องของสมาชิกพรรค แต่ในที่สุดแล้วหัวหน้าพรรค หรือผู้นำพรรคก็มีความสำคัญ
เอกภาพระหว่างพรรคกับผู้นำพรรคจึงสำคัญ
บทบาทพรรค
บทบาทผู้นำ
หากศึกษาจากกรณีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับกรณีของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะเห็นในความแตกต่าง
เพราะว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มิได้เป็นหัวหน้าพรรค
เพราะว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงสถานะหัวหน้าพรรคและขับเคลื่อนพรรคมาด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง
กระนั้นความสัมพันธ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับพรรคพลังประชารัฐก็ดำรงอยู่อย่างแนบแน่น โดยเฉพาะเมื่อหัวหน้าพรรคเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา เพราะเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี
อีกทั้งชื่อของพรรคพลังประชารัฐก็นำมาจากนโยบาย “ประชารัฐ” อันมีมติเห็นชอบดำเนินการโดย ครม.ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา
แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มิได้เป็นหัวหน้าพรรค แต่ก็ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นผู้บังคับบัญชาของคณะกรรมการบริหารพรรค ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าพรรค รองหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค โฆษกพรรค ครบถ้วน
ยิ่งกว่านั้น พรรคพลังประชารัฐยังประกาศที่จะสานต่อทุกนโยบายอันริเริ่มโดยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อีกด้วย
ทิศทาง แนวทาง
เลือกตั้ง มีนาคม
เมื่อนำเอาพรรคพลังประชารัฐเป็นตัวตั้ง เมื่อพรรคพลังประชารัฐเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีแต่เพียงหนึ่งเดียวของพรรค และประกาศจะสานต่อทุกนโยบายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
การเลือกตั้งในเดือนมีนาคม 2562 จึงมีความแจ่มชัด
เป็นความแจ่มชัดที่ 1 พรรคการเมืองใดที่เห็นชอบกับแนวทางของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งโดยตรงอย่างพรรคพลังประชารัฐและโดยการซุกตัวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพรรคพลังประชารัฐ
นี่มิได้เป็นความลับอะไรเลย
มีคำประกาศตั้งแต่เมื่อเดือนสิงหาคม 2559 ภายหลังการผ่านประชามติรัฐธรรมนูญแล้วว่าจะมีการจัดตั้งพรรคการเมืองเพื่อสืบทอดอำนาจให้ คสช. สืบทอดอำนาจให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เป็นความแจ่มชัดที่ 1 ยืนอยู่ตรงกันข้าม คสช. ตรงกันข้าม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นี่มิได้เป็นความลับ เพราะพรรคเพื่อไทยก็ประกาศแนวทางนี้ตั้งแต่หลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 มาแล้ว และภายหลังประกาศและบังคับใช้รัฐธรรมนูญเมื่อเดือนเมษายน 2560 ก็มีหลายพรรคการเมืองที่ประกาศเช่นเดียวกับพรรคเพื่อไทย
ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาชาติ ไม่ว่าจะเป็นพรรคไทยรักษาชาติ ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อชาติ และรวมถึงพรรคอนาคตใหม่ พรรคสามัญชน
นับวันการต่อสู้ 2 แนวทางนี้จะยิ่งปรากฏชัด
2 ยุทธศาสตร์การเมือง
หลากยุทธวิธี การต่อสู้
เมื่อเข้าสู่เดือนกุมภาพันธ์ และยิ่งเข้าใกล้เดือนมีนาคม ประชาชนจะยิ่งสัมผัสได้ถึงยุทธวิธีของแต่ละพรรคการเมืองว่าดำเนินไปเพื่อบรรลุเป้าหมายหรือยุทธศาสตร์อย่างใด
เหมือนกับมีพรรคหนุน คสช. เหมือนกับมีพรรคต้าน คสช. เหมือนกับมีพรรคเป็นกลาง ไม่เลือกข้าง
แม้ว่าการดำเนินยุทธวิธีจะยังไม่แจ่มชัด แม้ว่าการเลือกข้างจะยังคลุมเครือ แต่ยุทธศาสตร์ของแต่ละพรรคก็มีความแจ่มชัด เพียงแต่จะแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาหรือไม่
กระนั้น ในที่สุดแล้วปัจจัยชี้ขาดคือ การปฏิบัติ มิได้อยู่ที่คำประกาศอย่างเลื่อนลอย