ในประเทศ / ทางโล่ง?

ในประเทศ

ทางโล่ง?

 

นาทีนี้ ดูเหมือนว่าการกำหนดเกมทางการเมืองตกอยู่ในมือของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มากขึ้นเรื่อยๆ

โดยเฉพาะหลังจากเหตุแผ่นดินไหวและอาฟเตอร์ช็อกทางการเมือง เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์

สร้างผลสะเทือนต่อพรรคไทยรักษาชาติ กลุ่มพรรคตระกูล “เพื่อ” รวมถึงคนแดนไกลอย่างนายทักษิณ ชินวัตร อย่างรุนแรง

ยังไม่อาจประเมินความเสียหายที่กำลังล้มเป็นตัวโดมิโน

โดยไม่รู้ว่าจะยังไปหยุดอยู่ที่จุดใด

จะแพ้ทั้งกระดานในการเลือกตั้ง 24 มีนาคม เลยหรือไม่

คงต้องติดตามใกล้ชิด

 

แน่นอน ในด้านตรงกันข้าม ย่อมนำมาสู่ความมั่นใจของ พล.อ.ประยุทธ์ ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และของพรรคพลังประชารัฐ

ที่กำลังคาดหมายว่าฝ่ายตนเองกำลังรุกคืบไปสู่ “ชัยชนะ” ไม่ไกลเกินเอื้อม

หลังการตัดสินใจที่ไม่ผิดพลาดของ พล.อ.ประยุทธ์

ที่ตกปากรับคำเชิญเป็นนายกรัฐมนตรีจากพรรคพลังประชารัฐ ท่ามกลางผลสะเทือนจากผล “แผ่นดินไหว” อันเกิดจากพรรคไทยรักษาชาติ เมื่อ 8 กุมภาพันธ์ 2562

ด้วยเหตุผลที่แสดงผ่านสารถึงประชาชนว่า

ผมขอขอบคุณพรรคพลังประชารัฐที่ได้ให้เกียรติเชิญผมเข้าอยู่ในบัญชีรายชื่อบุคคลที่จะเสนอเป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้

ผมได้พิจารณาไตร่ตรองและทบทวนอย่างรอบคอบแล้ว ในเรื่องนโยบายของพรรคว่าจะสามารถขยายผลสืบเนื่องสิ่งต่างๆ ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติและรัฐบาลนี้ได้ดำเนินการ หรือวางแนวทาง หรือริเริ่มไว้ได้หรือไม่

อีกทั้งพิจารณาหลายๆ มิติที่เกี่ยวข้อง ทั้งในเรื่องนโยบายและมาตรการด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม การดูแลพี่น้องประชาชนทุกภาคส่วน  ความต่อเนื่องในการบริหารและพัฒนาประเทศ ในห้วงเวลาการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญดังที่กล่าวข้างต้น รวมทั้งพิจารณาภาพรวมของพรรคซึ่งประกอบด้วยสมาชิกหลากหลาย เช่น ตัวแทนภาคประชาชนทั้งคนรุ่นใหม่ นักวิชาการ นักธุรกิจ ที่มีความรู้ความสามารถ ตลอดจนนักการเมืองที่มีประสบการณ์ ถึงแม้บางคนเคยเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองก็ตาม และพิจารณาโอกาสที่จะได้รับความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนตามแนวทางประชารัฐ

การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ง่ายนักเพราะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของประเทศ ถึงแม้ก่อนหน้านี้ผมจะเป็นทหารมาตลอดชีวิต แต่ผมเป็นคนหนึ่งที่พร้อมจะสละชีวิตเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย และผมมีความมั่นใจ ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า จะสามารถร่วมมือร่วมใจกับพี่น้องประชาชน นำพาประเทศของเรา ก้าวไปข้างหน้าด้วยกันได้อย่างมีความสงบสุข มีความสามัคคี ไม่มีความขัดแย้งในสังคมอีกต่อไป

ดังนั้น ผมจึงขอตอบรับการเชิญโดยยินยอมให้พรรคพลังประชารัฐเสนอชื่อให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี

ทั้งนี้ ผมขอยืนยันว่า ผมมิได้มุ่งหวังจะสืบทอดอำนาจใดๆ

เพียงแต่มุ่งหวังถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนโดยรวมเป็นสำคัญอย่างแท้จริง โดยจะเร่งบริหารและพัฒนาประเทศให้มีความเจริญรุ่งเรืองต่อไป

อย่างไรก็ตาม ผมมีความคาดหวังว่า ในการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้ เราจะได้รัฐบาลและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีประสิทธิภาพ มีธรรมาภิบาล

ไม่มีการใช้วัฒนธรรมการเมืองเดิมๆ ที่มีการต่อรองผลประโยชน์หรือตำแหน่งเพื่อกลุ่มของตนเอง เพื่อให้ได้คนดี

มีความสามารถมาบริหารราชการ โดยทุกคนต้องเสียสละทำงานเพื่อส่วนรวมเท่านั้น ทั้งนี้ ผมพร้อมจะร่วมมือทำงานกับทุกพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์และจุดมุ่งหมายเดียวกัน

คือ “เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน”

 

หาก พล.อ.ประยุทธ์ถอดใจ ไม่รับเชิญพรรคพลังประชารัฐในวันนั้น

สถานการณ์คงพลิกผันไปอย่างมาก

แต่เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ตัดสินใจ “เดินหน้าต่อ”

และยิ่งเมื่อพรรคไทยรักษาชาติ เผชิญข้อหา “กระทำมิบังควร” อย่างไม่คาดหมายภายในวันเดียว

เกมทุกอย่างก็ไหลมาอยู่ในมือของ พล.อ.ประยุทธ์

แม้ว่าจะมี “สงคราม” ข่าวลือ ข่าวปลอม ถูกเปิดออกมาเขย่า

ไม่ว่าจะเกิด “รัฐประหารซ้อน” และนำไปสู่คำสั่งปลอม ปลดผู้บัญชาการเหล่าทัพ

แต่ดูเหมือนฝ่ายรัฐบาลจะสามารถสยบได้โดยเร็ว

นับจาก พล.อ.ประยุทธ์เรียกร้องไม่ให้เชื่อข่าวลือและข่าวเท็จ ข่าวปลอมที่ออกมา

ทั้งย้ำว่าในส่วนของเหล่าทัพที่ขัดแย้งกันนั้นเป็นไปไม่ได้

“ขอสื่ออย่าเขียนว่าสถานการณ์ในเหล่าทัพนั้นไม่ดี การแต่งตั้งโยกย้ายหรือปลดใครนั้นผมต้องทำตามขั้นตอน ไม่สามารถใช้อำนาจตามมาตรา 44 ไปทำได้กับทุกตำแหน่ง” พล.อ.ประยุทธ์ย้ำ

ขณะที่มีรายงานข่าวเพื่อโชว์ความเป็นเอกภาพ

พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. นอกจากสั่งให้ฝ่ายกฎหมาย คสช.แจ้งความดำเนินคดีผู้ปลอมเอกสารแล้ว

ขณะเดียวกัน ที่ประชุม คสช.ได้สั่งให้หน่วยงานด้านความมั่นคงเกาะติดสถานการณ์บ้านเมืองอย่างใกล้ชิด

โดยตั้งวอร์รูมติดตามความเคลื่อนไหว ที่สร้างผลกระทบต่อภาพลักษณ์รัฐบาลและ คสช.อย่างใกล้ชิด

 

ขณะเดียวกัน น่าสังเกตว่า หลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์

พ.อ.หญิง ทักษดา สังข์จันทน์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้นำข้อปรารภของ พล.อ.ประยุทธ์ มาแถลงว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราโชบายในการบริหารประเทศ

โดยขอให้คนไทยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่ทรงเห็นความสำคัญของประชาชน

พระองค์ท่านทรงมีรับสั่งว่าให้คณะรัฐมนตรีนึกถึงประชาชนเป็นหลักในการทำงาน ทำให้มีความสุข มีทางออก และมีทางเลือก

ขณะที่การแก้ปัญหาสังคมของประเทศนั้นสามารถบรรเทาได้โดยการสร้างวินัยให้แก่ประชาชน

และขอให้ประชาชนทุกคนมีความภูมิใจในประวัติศาสตร์ ชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และอัตลักษณ์ของประเทศไทย สิ่งเหล่านี้สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับประเทศชาติได้ในเรื่องส่งเสริมการท่องเที่ยว

“ส่วนประเด็นสำคัญคือ การนำเอาจิตอาสาไปขับเคลื่อนให้กับพี่น้องเกษตรกรที่ได้รับความเดือดร้อน หากช่วยเหลือได้จะนำจิตอาสาช่วยบรรเทาปัญหาต่างๆ ทั้งด้านผลผลิต และการเกษตร ก็จะเป็นโครงการที่ดีช่วยกันแก้ไขปัญหาให้กับทุกหมู่เหล่า โดยจะเป็นการร่วมมือกันของส่วนราชการ เอกชน ในการรวมพลังช่วยเหลือผู้ขาดแคลนในประเทศเพื่อให้ยกระดับมีฐานะที่เท่าเทียมกัน ลดความเหลื่อมล้ำและลดช่องว่าง” พ.อ.หญิง ทักษดากล่าว

อันสะท้อนให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์รำลึกในพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงให้หลักการทำงานแม้กระทั่งในช่วงสุดท้ายของรัฐบาลชุดนี้ก็ตาม

ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ย้ำว่า วันนี้ยังทำงานอย่างเต็มที่ทั้งในหน้าที่นายกฯ และหัวหน้า คสช.

 

ส่วนเรื่องการเมือง พล.อ.ประยุทธ์บอกว่า จะระมัดระวังให้มากที่สุด โดยปฏิบัติทุกอย่างตามกฎหมายที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง และกฎหมายอื่นๆ กำหนด

ส่วนกิจกรรมต่างๆ ของรัฐบาลจะดำเนินการต่อไป แต่ขอร้องอย่านำมาเป็นประเด็นทางการเมือง เพราะถือเป็นคนละเรื่องกัน การเมืองและการเลือกตั้งเป็นเรื่องของอนาคต

“เป็นเรื่องของพรรค พปชร.ที่จะชูผมในการหาเสียงเลือกตั้ง ส่วนที่ประชาชนอยากเห็นร่วมหาเสียงด้วยนั้น ต้องตอบว่า วันนี้สามารถพบผมได้ทุกช่องทาง เพราะมาทำงานทุกวัน ไม่เคยหยุดราชการ อยู่บ้านก็ทำงาน แต่ขอร้องอย่าทำให้ทุกอย่างเป็นประเด็น พบปะประชาชนในหลายโอกาสที่สามารถทำได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ซึ่งเรื่องนี้ได้สอบถามและหารือฝ่ายกฎหมายมาโดยตลอด” นายกฯ กล่าว

ซึ่งก็สอดประสานกับนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่บอกว่า ตอนนี้กระแสของพรรคดีวันดีคืน

ส่วนจะดีอย่างต่อเนื่องไปจนถึงวันเลือกตั้งเลยหรือไม่นั้น ก็อยู่ที่ว่าพรรคจะสามารถนำเสนอชี้แจงนโยบายต่อประชาชนได้ดีแค่ไหน

ขณะที่นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค ชำระคราบไคลพรรคพลังประชารัฐว่าเป็นพรรคตามระบอบประชาธิปไตย และเสนอตัวให้ประชาชนตัดสินใจเดินหน้าประเทศไทยและทำลายระบบนอมินีไปกับพรรค

ซึ่งแน่นอนมากด้วยความมั่นใจมากขึ้น

 

เป็นความมั่นใจทั้งจากอาฟเตอร์ช็อก 8 กุมภาพันธ์ ที่ทำให้พรรคคู่แข่งระส่ำระสายอย่างหนัก

ขณะเดียวกันมีความภาคภูมิใจกับสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์นำไปปรารภในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระราโชบายในการบริหารประเทศ

ขณะที่ คสช.และกองทัพยังมีความเป็นเอกภาพ มิได้ขัดแย้งจนนำไปสู่การปฏิวัติซ้อนอย่างที่ปล่อยข่าวลือกัน

ขณะที่ทางการเมือง พรรคพลังประชารัฐก็ลดโทนการเลือกข้าง ระหว่างพรรคทหารกับพรรคประชาธิปไตยลงจากกรณี 8 กุมภาพันธ์ ได้อย่างไม่คาดหมาย

นี่จึงทำให้เส้นทางการเมืองข้างหน้าของ พล.อ.ประยุทธ์ “โล่ง” ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

แต่กระนั้น การเมืองยังมากด้วยตัวแปร และที่สำคัญ ฝั่งฟากรัฐบาล คสช. และพรรคพลังประชารัฐ จะดึงเสียงจากฝ่ายตรงข้ามมาเป็นของตนเองได้หรือไม่

เพราะฝั่งฟากตระกูล “เพื่อ” ก็คงต้องเร่งฟื้นฟูความเสียหาย เพื่อตรึงเอาเสียงสนับสนุนไว้กับฝ่ายตนเองให้ได้มากที่สุด

เกมการเมืองยังมีอีกหลายเกมที่ต้องฟาดฟันกัน

ยังไม่รวมเหตุไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้นได้ตลอด

ใครประมาท ผ่อนมือ หรืออีกด้าน ตะลุยหนักมือเกินไปด้วยมีอำนาจอยู่ในมือมากอาจทำให้เกิด “ล้นเกิน”

ทำให้สถานการณ์พลิกผันไปได้ตลอดเวลา

ยิ่งถนนโล่ง อาจเผลอเหยียบคันเร่ง แหกโค้ง ตกถนนการเมืองได้ง่ายๆ