ทวีปที่สาบสูญ : เพราะกูเคยอ่านกลอนของมึงนั่นแหละ โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

ม.ล.ปริญญากร วรวรรณ

ชั้นบนของห้องแถวตึกแห่งนั้น แลดูซอมซ่อและอุดอู้อยู่ไม่น้อย พ้นหัวมุมบันไดขึ้นไป เป็นประตูทะลุเข้าห้อง พอย่างเท้าถึงก็สัมผัสกับคราบฝุ่นหนาเตอะ แดดสาดจ้าเข้ามาทางหน้าต่างที่ไร้ผ้าม่าน

เดินเข้าไปใกล้บานปล่อง ยินเสียงดังจอกแจกจอแจลอยมาจากถนนข้างล่าง พลางละม้ายมีใครตะโกนด่าว่ากันอีกโหวกเหวก กลั้วเสียงข้าวของกระทบกัน

คงจะดังอย่างนี้ทั้งวัน และอาจตลอดคืน

อัมพรโยนถุงเสื้อผ้าของฉันเข้าในซอกข้างฟูกนอน

“มีมาเท่านี้ละหรือ”

“อือ”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูเสาะผ้าเก่าๆ แบ่งให้ พี่คำมันแต่งตัวเก่ง กางเกงยีนส์ก็มี”

ฉันนึกถึงรูปร่างของอีพี่สร้อยสายกับตัวเอง

“ไม่เป็นไรหรอกอัมพร แค่นี้ก็อยู่ได้”

“มึงก็เป็นเสียอย่างนี้” อัมพรว่าทันควัน “ปล่อยตัวกะเร้อกะรัง หางานที่ไหนถึงไม่ได้กับเขา”

เป็นครั้งแรกที่ไม่อาจโต้ตอบอะไรได้ ฉันรู้ว่าตัวเองดูมอมแมมแค่ไหน จะให้เนื้อตัวใสสะอาดปราศจากเหงื่อไคลได้อย่างไร ในเมื่อต้องย่ำต๊อกอยู่เป็นวันๆ

ลงนั่งขัดสมาธิกลางพื้นห้อง

“แล้วฉันต้องไปทำงานวันไหน”

“พรุ่งนี้ก็ได้ไปแล้ว” อัมพรนั่งลงบ้าง “กูสิ เหนื่อยจะตายห่า ไม่อยากขึ้นไปเลย”

“เธอมาอยู่ที่นี่นานแล้วหรือ”

“ไม่นานหรอก” อัมพรพ่นลมหายใจพรืด “หลังมึงไป กูก็อยู่ได้อีกพักหนึ่ง…จนได้จังหวะออกมา”

“เธอออกมายังไง เขาไม่ว่าหรือ”

อัมพรไม่ตอบคำถาม ทำราวไม่ได้ยิน

“มึงล่ะ ไปอยู่ที่ไหนยังไงต่อ เล่ามาซิ”

 

เมื่อมองดูอัมพร สิ่งที่คอยแต่จะเข้ามาในห้วงสำนึก คือครั้งยามเคยทำงานร่วมกัน…กับภาพอีกหลายภาพที่เราเคยผ่านมานั้น ยามหัวเราะ ยามร้องไห้ ยามทุ่มเถียงกันอย่างเผ็ดร้อน

และตอนที่ฉันผละจากมา

มีหลายต่อหลายครั้ง ที่ฉันก็อดคิดถึงอัมพรไม่ได้ หวั่นๆ อยู่ในอกว่าคงจะไม่มีวันพบหน้ากันอีกแล้ว ส่วนลึกในใจได้แต่เฝ้าหวังว่า หล่อนคงจะปลอดภัยสบายดี

แต่แล้ววันหนึ่ง ดั่งโชคชะตาและการปรากฏตัวของภูตผี

ฉันกำลังนั่งอยู่ข้างหน้าอัมพร

“ฉันดีใจนะ ที่ได้พบเธอ”

ยังลังเลก่อนจะพูด แต่แล้วก็ตัดสินใจพูดออกไป

ตาคมกริบตวัดมาทันควัน

“มึงพูดจริง?”

“อ้าว จริงสิ” อดนึกฉุนไม่ได้ “ทำไม เห็นฉันเป็นคนยังไง”

“เปล่า ขอโทษ”

ขอโทษ…คนอย่างอัมพรขอโทษฉันด้วย ยังไม่นับที่เอ่ยปากรับรองตัวฉันกับอีพี่สร้อยสาย

ฉันมองดูอดีตเพื่อนร่วมงานอย่างอดระแวงไม่ได้

จะว่าไปแล้ว ก็คงไม่แปลกที่อัมพรยังระวังตัวกับฉัน เพราะตัวฉันก็ต้องระวังอยู่เช่นกัน

สิ่งที่เราผ่านมานั้น ยิ่งมองเห็นกันและกันเด่นชัด โลกนี้ ย่อมไม่มีอะไรควรไว้วางใจอยู่แล้ว

“กูก็ดีใจที่ได้เจอมึง” อัมพรเอ่ยขึ้นมา หลังจากนิ่งเงียบกันไปพักหนึ่ง “นึกไม่ถึงว่ามึงจะหัวแข็งอยู่เหมือนกัน เออ มึงเก่ง”

ฉันพูดอะไรไม่ออก อีกเดาทางอัมพรไม่ได้ นั่งเงียบกันไปอีกพักหนึ่ง จึงถามขึ้น

“แล้วพี่สร้อยเขาเคยพูดถึงฉันว่ายังไง”

“โอ้ย กูก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นมึง” อัมพรตอบ “อีพี่คำมันเกือบตายอยู่เหมือนกัน ผัวมันน่ะโรคจิต”

ฉันเห็นแวววาบบางอย่างในดวงตาอัมพร

“ผู้ชายพวกนี้ก็เหมือนกันหมด” เสียงเค้นลอดไรฟัน “รอกูสบโอกาสเหมาะๆ ก่อนเถอะ จะเอาคืน”

“ใคร?”

“ไม่ต้องใครหรอก พวกผู้ชายทุกตัวนั่นแหละ” อัมพรว่า

แล้วพลันก็ลุกพรวดพราดขึ้น

“เดี๋ยวกูลงไปช่วยดูร้านก่อน มึงอยากนอนพักก็นอนเสีย ค่ำอีกหน่อยค่อยไปกินข้าว”

ฉันอดลูบกระเป๋ากางเกงไม่ได้

“กินที่ไหน”

“เออ ไม่พาไปกินของแพงหรอกน่า เดี๋ยวกูเลี้ยงเอง” อัมพรดูจะตาไวตามเคย

“ให้ฉันลงไปช่วยไหมล่ะ ที่ข้างล่าง”

“ไม่ต้องหรอก ให้อีพี่คำมันอารมณ์ดีเสียก่อน ไปตอนนี้เดี๋ยวก็ได้ผิดกันอีก”

“…ถ้าเขาไม่อยากรับฉัน”

“มึงไม่ต้องพูดละ” อัมพรโบกมือ “กูจะเอามึงนี่แหละไปอยู่ด้วย คนอื่นก็มีแต่งัวแต่ควาย ยังว่าถ้าหาคนไม่ได้จริงๆ กูจะหนีมันไปหน้าซื่อแล้ว”

 

อัมพรลงบันไดไปแล้ว ยินเสียงฝีเท้าย่ำลงและหายลับไปอย่างรวดเร็ว ลุกขึ้นไปงับประตูเข้ามา แล้วตัวฉันก็กลับมานั่งที่เดิม

เอนหัวพิงผนังห้อง เหมือนท้องไส้ยังปั่นป่วนอยู่เงียบๆ

นี่มันจริงหรือฝัน ฉันหางานทำได้แล้ว

หากก็กลับมาเป็นลูกจ้างของอีพี่สร้อยสาย

ผู้เป็นพี่สาวของอัมพร

ใจนึกอยากจะเขียนตัวหนังสือลงในสมุดสักเล่ม มีความรู้สึกมากมายหลากไหลเหมือนกระแสน้ำเชี่ยว ปะปนกันอยู่ทั้งความโล่งใจและหนักอึ้งเป็นมวล อย่างน้อยคืนนี้ก็มีที่ซุกหัวนอน พรุ่งนี้จะมีงานให้ทำ แต่จะได้พบกับอะไรอีก

ยังไม่กล้าจะตั้งความหวัง

มองไปยังมุมห้อง ถุงแซ่วใบใหญ่ที่ใส่ข้าวของมา ดูเปรอะเปื้อนเกือบเหมือนห่อถุงขยะ นั่นคือเสื้อผ้าเพียงสองสามผืน ไม่มีอะไรอื่นอีก

จิตใจพลุ่งพล่านขึ้นมา อยากจะได้สมุดกับปากกาเสียเหลือเกิน

 

“อ้าว อีพี่ มึงจะไปไหน”

อัมพรร้องทักทันทีเมื่อเห็นฉันลงบันไดมา อีพี่สร้อยสายก็ยังนั่งที่เก่า สายตาจ้องมาทันควัน

“จะไปหาซื้อของหน่อย” ฉันตอบ “แถวนี้มีร้านขายของชำมั้ย”

“มึงจะซื้ออะไร”

ฉันไม่ตอบ

“โกเต๊กรึ” อัมพรถามอีก “ของกูมี เดี๋ยวจะแบ่งให้”

“ไม่ใช่”

“จะเอาอะไรเล้า”

พี่สร้อยสายส่งสายตากับอัมพร

อัมพรรีบเดินรี่มาหา

“งั้นเดี๋ยวกูพาไป”

“ฉันไปเองได้ ใกล้ๆ แถวนี้คงมีร้านกระมัง”

“เออน่า” อัมพรทำเสียงรำคาญ “มึงเคยอยู่แถวนี้มั้ยล่ะ เซอะซะไป เดี๋ยวก็ได้หลงทางกลับมาไม่ถูก”

ฉันไม่คิดว่าย่านถนนแถวนั้นจะซับซ้อนมากมาย แม้ไม่เคยอยู่ แต่ก็พอจะจำทางหลักๆ ได้ เพราะความที่เป็นตลาดใหญ่สำคัญของเมืองเชียงใหม่ หลายครั้งที่ฉันเองก็เคยเฉียดกรายมา

“มึงไปกับมันแล้วกัน” อีพี่สร้อยสายเอ่ยปาก “จะทำอะไรก็รีบทำ พรุ่งนี้จะออกแต่เช้า”

อัมพรโอบแขนกับไหล่ฉันทันที ตัวเบียดเข้ามาโดนกัน…ฉันรู้สึกแปลกๆ

“งั้นก็รีบไป อีพี่”

ไม่พูดเปล่า อัมพรรั้งให้ฉันออกเดินไปด้วยทันที จนเกือบพ้นปากตรอกถึงค่อยปล่อยแขน

“ตกลงจะซื้ออะไร”

“สมุด”

“สมุด!” อัมพรทวนคำ ทำราวเป็นของแปลกประหลาดเหลือแสน

แล้วก็หัวเราะออกมา

“นี่ยังไม่เลิกคิดจะเป็นนักเขียนอีกรึ!”

ฉันเกลียดเสียงหัวเราะนั้นยิ่งนัก และนึกชังสีหน้าแววตาอัมพรขึ้นมาทันใด

“เออ มันหนักหัวใครล่ะ”

แต่อัมพรยังหัวเราะไม่หยุด ก่อนจะตวัดแขนเข้ามาใหม่

“มึงมันบ้า รู้ตัวมั้ยอีพี่”

ฉันเงียบ

“ถึงว่า เขียนกลอนเก่งแท้”

ใจฉันหายวาบขึ้นมาทันที…นั่นไง ไหนอัมพรเคยเถียงคอเป็นเอ็นที่บ้านคุณจ่า

 

“เธอมาแอบอ่านของฉันหรือ!”

ฉันเคยถาม และอัมพรหัวเราะใส่หน้า

“ใครจะอยากอ่านเรื่องของมึงให้เจ็บหัว”

“ไม่จริง อัมพร เธอแอบอ่านสมุดของฉันใช่มั้ย!”

“มึงอย่ามาดูถูกกู อีพี่”

แล้วอัมพรก็รีบลุกหนีหน้า

“กูเจ็บท้อง ไปส้วมก่อนเดี๋ยวมา”

นั่นยังไง แล้วคนปลิ้นปล้อนก็เฉลยตัวเองออกมา…ใช่แล้ว อัมพรเกือบจะสารภาพออกมาแล้วด้วย

“โอ้ย! อีพี่ มึงตีกูทำไม”

“ทำไมล่ะ กูจะเขียน มึงจะทำไม” ฉันฟาดม้วนกระดาษใส่อัมพร “มึงแอบอ่านสมุดกูทำไม!”

“มึงเป็นบ้าไปแล้วอีพี่!”

อัมพรพยายามปัดป้อง

“เออ! กูลักอ่าน แต่อ่านไปได้หน่อยเดียว มึงเขียนกลอนเก่งดีนี่”

“มึงว่าอะไรนะ”

“กูว่ามึงก็เขียนกลอนม่วนดี…แล้วมึงตีกูทำไม อีชาติหมา!”

 

ฉันหยุดเดิน เงยหน้าขึ้นสบตาอัมพร

“เธอแอบอ่านสมุดของฉันจริงๆ ด้วย”

“อะไรนะ” อัมพรหยุดเท้าตาม

“เธอแอบอ่านสมุดบันทึกของฉัน” ฉันพูดย้ำ ชัดถ้อยชัดคำกับอัมพร “เธอมันคนขี้โกหก นิสัยเลวทรามต่ำช้า”

ฉันเน้นคำพูดออกไป เจ็บใจจนพลุ่งพล่านไปหมด

“อะไร แค่นั้นก็ด่ากูยังกับหมูกับหมา…เออ ยอมรับก็ได้ เพราะกูเคยอ่านกลอนของมึงนั่นแหละ อีพี่ ถึงได้ตั้งใจว่า ถ้าเจอมึงอีก…กูจะอยู่กับมึงดีๆ จะไม่ให้เหมือนเดิมอีกแล้ว”