ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ | ทำไมโลกชวนคว่ำบาตรรัฐบาลไทยเรื่อง “ส่งนักบอลบาห์เรนไปตาย”

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

เผด็จการทหารคือระบบการเมืองที่ผู้มีอำนาจคุกคามประชาชนอย่างที่คนทั้งโลกรู้กัน ห้าปีที่ คสช.ยึดประเทศจึงเป็นห้าปีที่องค์กรระดับโลกและรัฐบาลประเทศต่างๆ วิจารณ์การที่ พล.อ.ประยุทธ์ละเมิดสิทธิมนุษยชนเยอะไปหมด ต่อให้ไม่มีหลักประกันว่าคำวิพากษ์นั้นจะเปลี่ยนพฤติกรรมรัฐบาลทหารได้ก็ตาม

ในระบบที่ผู้นำภาษาไม่ได้และความรู้ระหว่างประเทศไม่ดี คำวิจารณ์ของ UN หรือองค์กรอื่นๆ เรื่องเบี้ยวเลือกตั้ง, จับคนขังค่ายทหาร, ใช้ศาลทหารดำเนินคดีประชาชน ฯลฯ เป็นเพียง “ความเห็น” ที่ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น หรือต่อให้สนใจ ล่ามอย่างรัฐมนตรีก็จะแปลงสารทุกเรื่องเป็นโลกเข้าใจเราดี

พล.อ.ประยุทธ์มักอ้างว่าคนวิจารณ์ท่านมีนิดเดียว ไปไหนก็ไม่มีใครต่อต้าน แต่ที่จริงการเหยียบแผ่นดินอื่นแล้วถูกประท้วงหรือแถลงการณ์ด่าคือการ “ต่อต้าน” โดยตัวมันเองอยู่แล้ว เว้นเสียแต่จะอ้างว่า “ต่อต้าน” คือการชุมนุมที่คนเป็นแสนๆ ซึ่งจะเกิดได้ก็แต่กับผู้นำที่ไม่ได้เรื่องจนมีผลกับโลกจริงๆ

หลังมีข่าวว่ารัฐบาล คสช.จับหญิงซาอุส่งกลับแบบที่คนทั้งโลกเห็นว่า “ส่งเธอไปตาย” ประเทศไทยก็ถูกโลก “ต่อต้าน” จน UNคุ้มครองเธอจากรัฐไทย และแคนาดารับเป็นผู้ลี้ภัยในที่สุด ส่วนคนไม่น้อยก็มองว่าประเทศไทยอยู่ใต้เผด็จการทหารซึ่งทำทุกทางเพื่อเอาใจเผด็จการซาอุ ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรก็ตาม

หนึ่งเดือนที่กรณี “หญิงซาอุ” ผ่านไป ประเทศไทยฉาวกรณี “นักบอลบาห์เรน” ซึ่งโลกมองว่าไทยเตรียม “ส่งเขาไปตาย” คล้ายกรณี “หญิงซาอุ” จนทำให้การวิพากษ์วิจารณ์ขยายตัวจากการด่าทอรัฐบาลเผด็จการในโซเชียลแบบลอยๆ เป็นการชวนกันปกป้องนักบอลบาห์เรนและ “คว่ำบาตรประเทศไทย”

ในกรณีหญิงซาอุ ปฏิกริยาที่โลกมีต่อข่าวนี้คือ #SaveRahaf เพื่อเชื่อมต่อคนที่ไม่พอใจข่าว “ส่งเธอไปตาย” ส่วนในกรณีนักบอลบาห์เรน ปฏิกริยาของโลกต่อข่าวนี้คือ #SaveHakeem และ #BoycottThailand หรือ #BoycottThaiGovernment ซึ่งเป็นการชี้เป้าให้ทุกคนระบายความไม่พอใจใส่รัฐบาลไทยตรงๆ

เท่าที่รับทราบกันโดยทั่วไป ฮาคีมถูกรัฐบาลบาห์เรนจับข้อหาทำลายทรัพย์สินในช่วงที่ประชาชนลุกฮือต่อต้านผู้นำเผด็จการแล้วแพ้ในปี 2554 ทั้งที่ในเวลานั้นเขาลงแข่งฟุตบอลนัดที่ถ่ายทอดไปทั้งประเทศ ยิ่งกว่านั้นคือฮาคีมถูกจับแล้วถูกซ้อมสามเดือนก่อนประกันออกมาสู้คดี และในที่สุดศาลพิพากษาจำคุกเขา ๑๐ ปี

ทันทีที่รู้ว่าศาลจำคุกทั้งที่ไม่ผิด ฮาคีมก็ทำเรื่องขอลี้ภัยในออสเตรเลีย รัฐบาลที่นั่นตรวจสอบข้อเท็จจริงสามปีจนเห็นว่าฮาคีมถูกกลั่นแกล้งจนให้สถานะผู้ลี้ภัยตามที่ร้องขอ จากนั้นฮาคีมมาไทยกับเมียเพื่อฮันนีมูนที่ไทยซึ่งไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับบาห์เรน แต่ในที่สุดไทยก็จับเขาทันทีที่เหยียบแผ่นดิน

คนจำนวนมากเชื่อว่าไทยจับฮาคีมตามที่รัฐบาลบาห์เรนร้องขอจนเรื่องอื้อฉาวยิ่งขึ้น แต่ทางการไทยไม่เคยยอมรับเรื่องนี้จนปัจจุบัน

ขณะที่ผู้มีอำนาจฝั่งไทยสร้างข่าวตามโซเชียลว่าไทยไม่ได้ทำผิดอะไร โลกกลับอยู่ข้างฮาคีมเพราะเห็นเขาเป็น “เหยื่ออธรรม” ของอำนาจรัฐในบาห์เรนและในไทยด้วย เพราะเหตุที่เกิดกับฮาคีมในบาห์เรนคือชะตากรรมที่เกิดแก่คนที่ต่อต้านเผด็จการทั้งโลก และเหตุที่เกิดในไทยก็คล้ายกับกรณี “หญิงซาอุ” และ “อุยกูร์”

ในกรณีบาห์เรน คนทั้งโลกรับรู้ว่าที่นั่นคือต้นกำเนิดของการต้านเผด็จการ Arab Spring ซึ่งจบด้วยความพ่ายแพ้ การไล่ล่าประชาชน, ซ้อมผู้ต้องหา และใช้ศาลลงโทษคนเห็นต่างจึงเป็นพฤติกรรมที่โลกเชื่อว่าเกิดในบาห์เรนอยู่แล้ว เช่นเดียวกับการส่งผู้ลี้ภัยไปตายซึ่งเป็นมุมมองที่โลกมีต่อรัฐบาลทหารของไทย

ไม่ว่าไทยจะจับกุม “นักบอลบาห์เรน” แล้วให้อัยการฟ้องศาลเพื่อส่งตัวให้บาห์เรนเพราะอะไร ความไม่เป็นประชาธิปไตยของไทยและบาห์เรนเป็นเหตุให้ทั้งสองประเทศมีความน่าเชื่อถือในเรื่องนี้ต่ำมาก เช่นเดียวกับภูมิหลังของการละเมิดสิทธิประชาชนที่ทั้งไทยและบาห์เรนมีปัญหาพอๆ กัน

นอกจากโลกจะมีทัศนคติติดลบต่อรัฐบาลนิยมอำนาจในบาห์เรนและไทย การที่ไทยจับกุมฮาคีมซึ่งโลกยอมรับว่าถูกบาห์เรนคุกคามจนให้สถานะ “ผู้ลี้ภัย” ทำให้ไทยถูกมองว่าละเมิดกติการะหว่างประเทศยิ่งขึ้นไปอีก เช่นเดียวกับการดำเนินการทั้งหมดทั้งที่ฮาคีมมีหนังสือเดินทางผู้พำนักในออสเตรเลีย

ฮาคีมถูกจับปลายเดือนพฤศจิกายนโดยไม่เคยมีคำแถลงอย่างเป็นทางการจากไทย แต่ทันทีเรื่องนี้อื้อฉาวพร้อมภาพฮาคีมขึ้นศาลคดีผู้ร้ายข้ามแดนในสภาพถูกตีตรวน การให้ข่าวอย่างไม่เป็นทางการของเจ้าหน้าที่รัฐคือไทยจับเพราะตำรวจออสเตรเลียแจ้งว่าชื่อฮาคีมอยู่ใน “หมายแดง” ของตำรวจสากล

อย่างไรก็ดี ถึงตอนนี้มีหลักฐานมากมายที่ชี้ว่าคำชี้แจงนี้เกิดจากผู้เกี่ยวข้องสร้างสงครามข้อมูลข่าวสารเพื่อเอาตัวรอดยิ่งกว่าจะเป็นความจริง

อันดับแรก “หมายแดง” ของตำรวจสากล” ไม่ใช่ “หมายจับระหว่างประเทศ” อย่างที่มักเข้าใจผิดกัน เพราะตำรวจสากลไม่มีอำนาจออกหมายให้ใครจับใคร ทำได้ก็แต่เอาข้อมูลให้ประเทศอื่นรับทราบ ส่วนการจับเป็นเรื่องของประเทศที่ออกหมายจับนั้นๆ จนการอ้างว่าไทยจับฮาคีมตาม “หมายแดง” บิดเบือนประเด็น

นอกจาก “หมายแดง” จะไม่ใช่ “หมายจับ” จนไม่ควรปล่อยข่าวว่าไทยจับฮาคีมเพราะ “หมายแดง” อย่างที่ทำกัน ตำรวจสากลยังมีนโยบายไม่ออกหมายจับผู้ที่มีสถานะ “ผู้ลี้ภัย” ซึ่งทางการไทยพึงมีปัญญารู้เรื่องนี้ด้วย ไม่ต้องพูดว่าในที่สุดตำรวจสากลถอน “หมายแดง” จนไทยอ้างว่าจับฮาคีมด้วยเรื่องนี้ไม่ได้แต่อย่างใด

ต่อให้ทางการไทยจับฮาคีมขังคุกเพราะมโนโดยสุจริตว่า “หมายแดง” คือ “หมายจับ” การที่ตำรวจสากลยกเลิก “หมายแดง” ย่อมทำให้เหตุแห่งการจับกุมยุติไปแล้ว การกักขังฮาคีมสองเดือนกว่าๆ โดยอ้างว่ารอขึ้นศาลจึงเป็นเหตุผลที่ไม่เข้าท่า เพราะคำสั่งซึ่งใช้เป็นข้ออ้างในการควบคุมตัวนั้นไม่มีในโลกอีกต่อไปน

อนึ่ง “นักบอลบาห์เรน” ถูกจับขณะมาเที่ยวกับเมียในวันที่ 27 พฤศจิกายน และทันทีที่ออสเตรเลียรู้ว่าฮาคีมโดนไทยจับโดยอ้าง “หมายแดง” ทั้งที่เป็นผู้ลี้ภัยตั้งแต่ปี 2560 ทางการออสเตรเลียก็ยกเลิกหมายดังกล่าวแล้วทำหนังสือให้ไทยส่งเขากลับออสเตรเลียตั้งแต่วันที่ 28 แต่ไทยไม่ทำอะไร

สำหรับผู้สนใจเรื่องนี้ในแง่กฎหมายระหว่างประเทศ การที่ไทยตัดสินใจคุมขังฮาคีมแทนที่จะส่งตัวกลับออสเตรเลียถือเป็นต้นตอของปัญหาทั้งหมดโดยแท้ เพราะไทยมีทางเลือกจะส่งฮาคีมกลับได้ และการเลือกเส้นทางของการคุมขังทำให้น่าสงสัยว่าเป็นไปเพื่อเปิดทางให้บาห์เรนทำหนังสือขอตัวฮาคีมจากไทย

ถ้าไทยส่งฮาคีมกลับออสเตรเลียในวันที่ 28 พฤศจิกาฯ เมื่อออสเตรเลียยกเลิก “หมายแดง” ความเคลื่อนไหวของบาห์เรนเพื่อเอาฮาคีมไปขังคุกคดีการเมืองในฐานะ “ผู้ร้ายข้ามแดน” ก็ไม่มีวันเกิดขึ้น และอัยการไทยก็ไม่ต้องยื่นคำร้องให้ศาลส่งฮาคีมไปบาห์เรนในฐานะ “ผู้ร้ายข้ามแดน” จนวุ่นวายในปัจจุบัน

กระทรวงต่างประเทศพูดถูกว่า “ฮาคีม” เป็นปัญหาแย่งชิงบุคคลระหว่างออสเตรเลียกับบาห์เรน แต่เหตุผลที่โลกไม่พอใจไทยขั้นรวมตัวกัน “คว่ำบาตร” เพราะเห็นว่าไทยเอียงข้างบาห์เรนทั้งที่เรื่องนี้เข้าข่าย “ส่งนักบอลไปตาย” โดยที่การดำเนินการของฝ่ายไทยก็น่าสงสัยว่าดึงเรื่องเพื่อรอการขอตัวของบาห์เรนจริงๆ

น่าสังเกตว่าขณะที่รัฐบาลบาห์เรนผู้ขอตัวฮาคีมไปติดคุกสิบปีจากคดีชุมนุมแทบไม่ยอมพูดอะไร สถานฑูตออสเตรเลียในไทยกลับระบุว่าบาห์เรนเป็นฝ่ายประสานมายังรัฐบาลไทยอย่างเร่งด่วนเพื่อให้ส่งตัวฮาคีมในฐานะ “ผู้ร้ายข้ามแดน” ซึ่งก็คือการชี้โดยนัยว่าท่าทีของไทยจึงเป็นผลจากคำขอบาห์เรนโดยตรง

แน่นอนว่าทางการไทยไม่มีทางยอมรับว่าคุมขังแล้วยื่นคำร้องเพื่อส่งฮาคีมเข้าคุกเพราะเกรงใจบาห์เรน รัฐมนตรีไทยพยายามปล่อยข่าวว่าไทยรักบาห์เรนและออสเตรเลียจนตัดสินไม่ถูก แต่ที่จริงการจับผู้ลี้ภัยเป็นผู้ร้ายข้ามแดนเพื่อส่งไปติดคุกนั้นผิดศีลธรรมและกฎหมายประเพณีระหว่างประเทศจนไม่ต้องพูดกัน

ในฐานะที่คุณดอนเป็นอธิบดีก่อนคณะรัฐประหารตั้งเป็นรัฐมนตรี คุณดอนย่อมทราบว่าโลกมีหลักการ Non-Refoulement ที่รัฐต้องไม่ส่งบุคคลไปดินแดนที่ได้รับอันตรายแก่ชีวิตและเสรีภาพเพราะเชื้อชาติ/ ศาสนา/ การเมือง ฯลฯ ซึ่งไทยต้องปฎิบัติ ต่อให้จะอ้างว่าไม่ได้ลงนามในสนธิสัญญาอะไรก็ตาม

ในสายตาของคนทั้งโลกซึ่งกดดันให้ไทย “ปล่อยฮาคีม” และ “คว่ำบาตรไทย” การจับ “นักบอลบาห์เรน” ที่โลกกังวลเรื่อง “ส่งเขาไปตาย” แสดงว่าไทยไม่สนใจข้อตกลงและบรรทัดฐานระหว่างประเทศเรื่องผู้ลี้ภัยและสิทธิมนุษยชนอื่นๆ จนทำให้เข้าข่ายประเทศที่ไม่ปลอดภัยสำหรับใครในโลกแม้แต่นิดเดียว

ถึงที่สุดแล้ว กระแส #SaveHakeem และ #คว่ำบาตรไทย คือคำประกาศความไม่พอใจของโลกต่อความร่วมมือข้ามพรมแดนระหว่างรัฐบาลอำนาจนิยมที่มีลักษณะ” เครือข่าย” เพื่อปราบปรามผู้เห็นต่างซึ่งลี้ภัยไปประเทศอื่นๆ ในปัจจุบัน

ภายใต้กระแส #BoycottThailand หรือ “คว่ำบาตรไทย” ซึ่งที่คนทั้งโลกกำลังพูดออกมาจริงๆ คือการวิจารณ์รัฐบาลไทยที่ไม่เข้าใจว่าฮาคีมเป็น “พลเมืองโลก” จนไม่ใช่คนบาห์เรนไปแล้ว และการคุมขังฮาคีมแบบตีตรวนพร้อมเตรียมส่งกลับบาห์เรนคือการคุกคาม “พลเมืองโลก” ที่ทุกคนต้องปกป้องร่วมกัน

โดยเนื้อแท้แล้ว #BoycottThailand คือการ #BoycottThaiGovernment หรือ “คว่ำบาตรรัฐบาลไทย” ซึ่งทำให้ประเทศไทยตลอดห้าปีหลังรัฐประหารถดถอยด้านสิทธิมนุษยชนมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงจุดที่โลกเห็นว่ารัฐบาลไทยเป็นส่วนหนึ่งของโครงข่ายการคุกคามมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนของโลกอย่างที่ไม่เคยเป็น