อภิญญา ตะวันออก / หมูบิน! จ้าวเวหา : ไม่มีสวรรค์ที่กำปงโสม

เขมราทรานสปอร์ต บริษัทที่สกิ๊พก่อตั้งพร้อมๆ กับสมาคม “หมูบิน!” แห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์สาธารณรัฐกัมพูชา ดูจะมีความน่าเกรงขามและเต็มไปด้วยนักบินหลายเชื้อชาติ ในที่นี้ส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกัน นอกนั้นก็มี ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ และไทย บางคนเคยเป็นทหารรับจ้างในกองทัพอากาศที่ถูกปลดประจำการ

ส่วนสกิ๊พเองนั้นก็มีองค์กรบางแห่งของสหรัฐให้การหนุนหลัง

ที่น่าสนใจและเป็นไปตามที่กันแสงคาดการณ์ กล่าวคือ บริษัทการบินกัมพูชาเวลานั้นเติบโตอย่างก้าวกระโดด เพียงในระยะเวลาอันสั้น 6-7 ปีบริษัทเพิ่มเป็นเท่าตัว

แสดงถึงการรุกคืบคุมพื้นที่ของพรรคคอมมิวนิสต์-เขมรแดงอย่างมีประสิทธิภาพ

ขณะเดียวกัน อย่างตรงกันข้ามกับเสถียรภาพในรัฐบาลสาธารณรัฐเขมรที่ตกต่ำ และเต็มไปด้วยการคอร์รัปชั่น

 

ในเวลาเดียวกัน ชีวิตประจำวันในกรุงพนมเปญก็ถูกคุกคามมากขึ้น จากการไหลทะลักของพลเมืองในชนบท และก่อให้เกิดปัญหาวิบัติตั้งแต่สภาพการจราจร ไปจนถึงชีวิตความเป็นอยู่

สำหรับจากการสัญจรของหมู่ประชากรพนมเปญ ที่ชีวิตประจำวันแขวนอยู่บนโชคชะตา บางเวลา ถนนมุนีวงศ์จึงคลาคล่ำไปด้วยสารพัดรถทุกประเภท ตั้งแต่รถบรรทุกขนผัก-ผลไม้ ตุ๊กตุ๊ก รถมินิบัสรับจ้าง ซิกโคล่-สามล้อถีบ รถรับจ้าง หน่วยรถพยาบาลและยานยนต์โยธา ฯลฯ

ในบางครั้งอย่างบังเอิญ อย่างเพลินๆ บนถนนมุนีวงศ์ พลันรถจี๊ปคันนั้นของกีย์ หมูบิน! ก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยรถของกองทัพ

วันต่อมาหลังจากพบกับบลานาเดต์ เพื่อนชาวพระตะบอง (และชื่อจัดตั้ง) กีย์ก็พบว่า เขากำลังบินต่อไปพระตะบองด้วยสายการบินแอร์ฟร้านซ์ ทำให้รู้ว่า หลังจากประสบปัญหาระบบการบินภายในประเทศ แต่อย่างน้อย ราวปี พ.ศ.2517 ขณะนั้นแอร์ฟรานซ์ก็ยังกลับมาบินในกัมพูชาด้วยเครื่องโบอิ้ง 707

ส่วนกัปตันนอกสนามอย่างกีย์ หมูบิน! ที่ต้องบินเพื่อการขนส่งสัมภาระขนาดราว 2 ตันไปยังพระตะบอง และผจญกับปัญหาเดิมๆ นั่นคือเสียงของผู้คุมจอมโหดที่หอการบินโปเชนตง อย่างไรก็ตาม คราวนี้ที่ระดับความสูง 1,000 ฟุต จากเส้นทางโปเชนตง กีย์เองกลับอนุญาตให้ฌ็อง บลูเบต์ นั่งเป็นสักขีพยานอยู่ในห้องนักบินในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส

มันคือช่วงที่เขาไร้สุขจากการบินที่อัดแน่นไปด้วยตารางทำงานอย่างต่อเนื่องวันละ 3-4 เที่ยวบินตลอด 45 วัน โดยไม่มีสิทธิ์จะลาพักร้อน

แรกเลยเขารู้สึกหัวเสียกับจอมบงการผู้ออกกฎระเบียบอย่างบาบาล อย่างไรก็ตาม ห้วงเวลาเหล่านั้นก็ทำให้เขาได้พบกับมิตรสหายใหม่ๆ อาทิ อาจารย์นักปรัชญา-แบร์นาร์ด ฮัสบรูกค์ (ชื่อจัดตั้ง) และออสวัลโด ซันวีตี นักบินชาวเปรูที่พูดฝรั่งเศสปนสำเนียงสแปนิช อิตาลี-อเมริกันอย่างนัวๆ ชวนให้บันเทิง นอกจากนี้ หมอยังมีเครางามเหมือนคลาร์ก เกเบิล อีกด้วย

แต่แล้วพอแยกย้ายจากกันในวันนั้น พวกเขาก็ไม่เคยพบกันอีก

สิบปีให้หลัง คือราวปี พ.ศ.2528 ตอนเขาไปภูเก็ต (และอาจจะรับจ้างบิน) กีย์ได้พบกับนักปรัชญาอีกครั้งในร้านอาหารที่หาดป่าตองซึ่งมีแบร์นาร์ดเป็นเจ้าของ

และสายลมแสงแดดเมืองภูเก็ตนี่เองที่ทำให้ไม่นานนัก บรรดาชาวสมาชิกหมูบิน! เขมร-ลาวพลัดถิ่นพากันมาพบปะชุมนุมและสุมหัวดื่มกิน

 

แต่เส้นทางทั้งหมดที่ปกติกลับเป็นตารางบินประจำวันที่จังหวัดกำปงโสม

เดิมคือสีหนุวิลล์ (เมืองตากอากาศของสีหนุ) ที่ลอน นอล เปลี่ยนกลับมาใช้ชื่อเก่า ด้วยศักยภาพของความเป็นเขตท่าเรือน้ำลึก กำปงโสมจึงเกือบจะผูกขาดกิจการจราจรทางทะเล เช่นเดียวกับจราจรทางอากาศ ที่ใช้เวลาเพียง 50 นาทีจากพนมเปญไปทางตอนใต้ของประเทศ

ต่างกับกำปอดตรงที่ นอกจากกุ้ง หอย ปู ปลา สัตว์ทะเลแล้ว กำปงโสมยังเต็มไปด้วยสัมภาระพิเศษมากมายเกินกว่านักบินจะจินตนาการ และพวกเขาจำต้องบรรทุกมันไปพนมเปญ

กล่าวคือ นอกจากเงินตรา ธนบัตร จักรเย็บผ้า และสินค้ามากมายหลายรายการ ในบางครั้งก็ยังแถมด้วยระเบิดไดนาไมต์

อย่างไรก็ตาม กำปงโสมก็สวยตรึงใจในความงามของชายหาด แต่มากลักษณะทางกายภาพ นั่นคือสนามบินที่หันหน้าสู่ชายหาดเหนือระดับน้ำทะเลที่ 1,500 เมตร ดังนั้น การแท็กซี่ขึ้น-ลงบนรันเวย์ที่นี่จึงไม่มีปัญหา และปลอดภัยจากการจู่โจมตีพื้นที่ของพวกคอมมิวนิสต์

กำปงโสมจึงเป็นสนามบินเขตเซฟโซนมากที่สุดแห่งเดียวในบรรดาสนามบินทั้งหมดของกัมพูชาแม้แต่โปเชนตง

กล่าวคือ นอกจากทำเลที่ตั้งทางภูมิศาสตร์แล้ว เหนือน่านฟ้าขึ้นไป ฝูงบินลาดตระเวนที-28 ของกองทัพ 2 ลำ ที่พร้อมโจมตี ในปฏิบัติการแจ้งเตือนประจำวัน

ไม่เพียงเท่านั้น เครื่องบินไอพ่นและเครื่องบินรบขนาดใหญ่ก็ใช้สนามบินแห่งนี้เป็นฐานปฏิบัติการ ทั้งหน่วยเสริมทางอากาศในกรณีที่ฉุกเฉิน ยามเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากการต่อสู้กับกลุ่มเขมรแดง

เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่บางฝ่ายที่เข้ากำกับการขอโหลดสัมภาระบางอย่าง ซึ่งแน่นอนว่านักบินทุกฝ่ายไม่อาจปฏิเสธในที่สิ่งที่พวกเขาโหลดลงในเครื่อง

นั่นคือ-ศพทหาร ที่ถูกส่งกลับบ้านระหว่างเที่ยวบินนั้นๆ

 

ในบางครั้ง แม้แต่เครื่องบินเช่าเหมาลำของทหารเพื่อทางการแพทย์ก็ยังถูกดัดแปลง นำไปขนถ่ายสินค้าอุปโภคบริโภค การบรรทุกเกินน้ำหนักเพื่อการทำกำไรคือสิ่งที่พบเห็นเป็นประจำ เช่นเดียวกับสินค้าที่ต้องการในตลาดมืดพนมเปญ และทั้งหมดนี้ล้วนแต่นำไปสู่การติดสินบนเจ้าหน้าที่ของรัฐจนเป็นเรื่องปกติ

การคอร์รัปชั่นที่ว่านี้ทำกันอย่างมโหฬาริก ไม่เว้นแม้เครื่องบินรบ ไปจนถึงการละเลยความปลอดภัยพื้นฐาน ด้วยการโยนทิ้งอาวุธจากเครื่อง เพื่อใช้โหลดสินค้าจากตลาดมืด

ดูเหมือนทุกองคาพยพของทหารและการเมืองคือการคอร์รัปชั่น กล่าวโดยรวม มีนายพลจำนวนเกือบร้อยที่ถ่ายโอนผลประโยชน์ของตนและพวกพ้องออกนอกประเทศ ทั้งฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ หรือแม้แต่สหรัฐ สัดส่วนทุจริตที่มากมายนี้มีตัวอย่างให้เห็นถึงการเติบโตของบริษัทการบินเอกชนกัมพูชาที่เพิ่มขึ้นมา 18 บริษัท ระหว่างปี พ.ศ.2517-2518

ทั้งหมดล้วนมีเจ้าของร่วมทุนเป็นนายทหาร ระดับชั้นนายพันถึงชั้นพลเอก และธุรกิจส่วนใหญ่คือการขนย้ายลูกค้าหรือประชาชนที่ต้องการหลบภัยสงครามเข้ามาอาศัยในเมืองหลวง โดยจำนวนผู้อพยพที่มากถึง 600,000 คนนี้ คือตัวเลขทำเงินมหาศาลแก่บริษัทการบิน ที่ตามมาด้วยการขนส่งสินค้าทางอากาศ-เครื่องอุปโภคบริโภค

แต่ความก้าวหน้ายึดครองพื้นของพรรคคอมมิวนิสต์ ดูจะสวนทางกับกองทัพรัฐบาล ที่ขาดความกระตือรือร้นจะยึดพื้นที่เหล่านั้นกลับคืน มองอีกด้านหนึ่ง พวกเขาดูจะไม่ต้องการ “ทุบหม้อข้าว” ตัวเอง ซึ่งเป็นแหล่งทำมาหากินจากกองทัพ

โดยนอกจากไม่ชดใช้จ่ายคืนใดๆ แล้ว บนความล้มเหลวและความตายของผู้คน ทหารกลุ่มนี้ยังถือโอกาสรับเงินทดแทนจากสปอนเซอร์อเมริกัน ผู้อุปถัมภ์และประคองสถานการณ์ความพ่ายแพ้แก่เขมรแดงให้เนิ่นนานออกไปเท่าที่จะทำได้

ด้วยเหตุนั้น การทรยศบ้านเมืองยามสงคราม ตั้งแต่การค้าอาวุธแก่ศัตรูเขมรแดง ไปจนถึงอื่นๆ จึงมากขึ้นเรื่อยๆ

จนไม่อาจจำแนกอาวุธที่ประหัตประหารเหล่านั้นว่าเป็นของฝ่ายใด?

 

อย่างไรก็ตาม ได้พานพบว่า กีย์เองนั้น ยามว่างเว้นจากตารางบินที่แสนจะยุ่งเหยิงนั่น เขามักจะพาตัวเองเข้าไปขลุกอยู่กับนักวิจัยด้านปฐพีวิทยาและชาติพันธุ์ในพระตะบอง

ซึ่งพบอีกว่า บางคนเป็นชาวบารังเกิดในเวียดนามใต้ ต่อมาอพยพหนีคอมมิวนิสต์มาตั้งรกรากในพระตะบอง โดยอีกด้านหนึ่งของงานวิจัยนั้น บางคนก็ผูกพันทำงาน รวมทั้งขายข้อมูลให้แก่ฝ่ายอเมริกัน

จึงไม่เแปลกที่พล พต-เขมรแดงจะเชื่อฝังหัวว่า ชาวตะวันตกทุกคนล้วนเป็นซีไอเอ

วันหนึ่ง ขณะที่กีย์และบลูเบต์อยู่ในพิกัตพระตะบองฝั่งตะวันตก ใกล้กับพรมแดนประเทศไทย บนเส้นทางไปปราสาทขอมแห่งหนึ่งนั้น คนทั้งสองกับกองกำลังของรัฐบาลพร้อมด้วยอาวุธหนักแบบเดียวกับยุโรปยุคกลาง

ทหารเขมรพวกนั้นทำราวกับออกไปรบพร้อมกับครอบครัวของตนที่ยกโขยงไปด้วย จำนวนนี้มีเด็กๆ ตัวเล็กๆ นอนเล่นในเปลใต้ร่มไม้ และจ้องมองวิถีซ้อมยิงกระสุนปืนใหญ่เข้าไปในหมู่บ้าน

บลูเบต์กับผู้ช่วยดูจะพยายามโน้มน้าวให้เห็นว่าการซ้อมรบเช่นนี้ไม่เกิดผลดีอะไร นอกจากอันตราย และมีโอกาสจะสังหารผู้บริสุทธิ์อีกด้วย แต่หมอกลับถูกตอกหน้าว่า เป็นพวกคอมมิวนิสต์?

ดูเหมือนสามัญสำนึกหลอนของเขมรเวลานั้นจะมีแต่

“ซีไอเอ-คอมมิวนิสต์”