โลกร้อนเพราะมือเรา : “โดนัลด์ ทรัมป์” ทำป่วน

ขอแทรกข่าวร้อนๆ ก่อนจะจบบทความว่าด้วย “เมืองสเตต คอลเลจ” 1 ใน 8 เมืองในทวีปอเมริกาเหนือที่ควรไปอยู่เพื่อหลบภัยโลกร้อนในสัปดาห์หน้า

ข่าวร้อนๆ ที่ว่า เป็นเรื่องของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ คนที่ 45 ซึ่งมีความเชื่อว่าโลกร้อนเป็นเรื่องโกหกหลอกลวง

นายทรัมป์พูดถึงโลกร้อนในหลายวาระ เขียนแสดงความเห็นผ่านทวิตเตอร์ก็มี

“ทรัมป์” บอกว่า จีนเป็นคนปั้นเรื่องโลกร้อนขึ้นมาจะทำให้บริษัทของอเมริกันกำไรลดลง

ไม่เชื่อว่าความเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศจะเกิดผลร้ายกับสหรัฐ

ระหว่างเดินสายหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี “ทรัมป์” ประกาศว่า สหรัฐจะถอนตัวออกจากข้อตกลงลดโลกร้อนที่นานาชาติกว่า 190 ประเทศร่วมกันเซ็นสัญญาในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

ประกาศจะล้มเลิกกฎระเบียบว่าด้วยการลดโลกร้อนของประธานาธิบดี บารัค โอบามา ทั้งหมด

แถมยังเปรยว่าจะอนุญาตให้โรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินในรัฐฟลอริดา เพิ่มปริมาณการปล่อยก๊าซพิษสู่ชั้นบรรยากาศอีกด้วยและจะสนับสนุนโรงงานอุตสาหกรรมในสหรัฐใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงให้มากขึ้นเพื่อลดต้นทุนและผลิตสินค้าแข่งกับตลาดโลกได้

แค่นั้นยังไม่พอ “ทรัมป์” ขู่จะตัดเงินบริจาคโครงการลดการปล่อยก๊าซพิษสู่ชั้นบรรยากาศโลกของสหประชาชาติ

 

เมื่อ “ทรัมป์” เล่นบทขวางโลกอย่างนี้ก็สร้างความปั่นป่วนอย่างมาก ไม่เฉพาะผู้นำประเทศทั่วโลก แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ นักสิ่งแวดล้อมต่างเป็นงงกันถ้วนหน้า

แนวคิดเรื่องโลกร้อนของ “ทรัมป์” ถูกนำไปวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง

นักวิชาการบางคนถึงกับชี้ว่า ถ้านายทรัมป์ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแล้วยังยืนกรานจะทำอย่างที่ประกาศเอาไว้ นายทรัมป์จะเป็นผู้นำคนเดียวบนโลกใบนี้ที่ปฏิเสธหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ

และยังเป็นผู้นำสหรัฐที่เดินทางสวนทางกับกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ซึ่งองค์การนาซ่าระบุว่า นักวิทยาศาสตร์ 97% ของโลกเห็นด้วยว่าภาวะโลกร้อนเกิดจากการปล่อยก๊าซพิษสู่ชั้นบรรยากาศ

บ้างก็วิเคราะห์ในมุมการเมืองว่า ทิศทางการเมืองโลกเปลี่ยนไป จีนฉวยโอกาสนี้ชิงบทผู้นำโลกแทนสหรัฐ โดยชูประเด็น “ลดโลกร้อน”

ที่ผ่านมาท่าทีของจีนชัดเจนในเรื่องการลดปริมาณปล่อยก๊าซพิษ รวมทั้งยอมรับว่า เป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซพิษมากที่สุดในโลก

 

ในเวทีประชุมของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เมืองมาราเกช ทางภาคใต้ของโมร็อกโกซึ่งมีตัวแทนทั่วโลกเข้าร่วมประชุมเพื่อกำหนดแผนการต่างๆ รับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ ได้นำประเด็น “ทรัมป์” ไปพูดเช่นกัน

นายโจเซเอีย โวเรเก ไบนีมารามา นายกรัฐมนตรีแห่งฟิจิ ให้สัมภาษณ์หลังเสร็จสิ้นการประชุมเรียกร้องให้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ เปลี่ยนแนวความคิดที่ว่าเรื่องโลกร้อนเป็นเรื่องโกหกหลอกลวง

“นักวิทยาศาสตร์ต่างเห็นพ้องว่าสาเหตุการเกิดโลกร้อนเพราะคน เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง และเราต้องเร่งจัดการปัญหานี้โดยเร็วก่อนจะเกิดหายนะ” นายไบนีมารามา บอกกับสื่อ พร้อมกับวิงวอนชาวอเมริกันให้เร่งช่วยเหลือประเทศเล็กๆ ที่อยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิกดังเช่นหมู่เกาะฟิจิ

“เราอยู่กลางมหาสมุทรอันเวิ้งว้าง แต่เราก็เหมือนคนอื่นๆ ที่เห็นว่า อเมริกาคือผู้นำโลก อเมริกาต้องช่วยแก้ไขปัญหาโลกร้อนให้พวกเรา” นายกรัฐมนตรีฟิจิเรียกร้อง

ฟิจิเป็นประเทศแรกลงนามในข้อตกลงลดโลกร้อนที่กรุงปารีสและมีเป้าหมายผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ภายในปี 2573

หมู่เกาะฟิจิผ่านประสบการณ์โลกร้อนมาหลายปีแล้ว ชาวเกาะเห็นระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ย 6 มิลลิเมตรต่อปีนับตั้งแต่ปี 2536 เป็นต้นมา

ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นบริเวณหมู่ฟิจิ สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกอยู่ที่ 2.8-3.6 ม.ม.ต่อปี

ปัจจุบันผู้คนริมชายฝั่งโยกย้ายถิ่นฐานเพราะระดับน้ำทะเลสูงขึ้น

นักวิทยาศาสตร์คาดว่า ถ้าชาวโลกปล่อยก๊าซพิษสู่ชั้นบรรยากาศเหมือนปัจจุบัน ในปลายศตวรรษนี้หมู่เกาะฟิจิจะอยู่ใต้ทะเล

 

นอกจากนี้ ชาวฟิจิยังรับรู้อีกว่า อุณหภูมิบนเกาะร้อนขึ้นเรื่อยๆ จำนวนวันที่อากาศเย็นสบายๆ ในช่วงกลางคืนลดลง อีกทั้งมีภัยแล้งเกิดขึ้นถี่บ่อย

ช่วงมรสุม พายุมีความรุนแรงมากกว่าในอดีต

เมื่อต้นปี พายุไซโคลนวินสตัน ถล่มหมู่เกาะฟิจิเสียหายยับเยิน รัฐบาลต้องประกาศภาวะฉุกเฉินนานถึง 30 วันเพื่อซ่อมแซมปรับปรุงบ้านเรือน ถนนหนทางรวมถึงร้องขอให้ทั่วโลกช่วยสมทบทุน

ความรุนแรงของพายุวินสตันพุ่งขึ้นถึงระดับ 5 ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุด

กระแสลมที่พัดกระหน่ำมีความเร็ว 297 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในบางห้วงเวลาทะลุถึง 320 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

วินสตันทำลายสถิติพายุไซโคลนที่มีความรุนแรงที่สุดในบริเวณซีกโลกใต้

แต่ละปีรัฐบาลฟิจิประเมินมูลค่าความเสียหายจากภาวะโลกร้อน ประมาณ 52 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 4% ของจีดีพี

ประเทศเล็กกระจิ๋วหลิวอย่างฟิจิซึ่งปล่อยก๊าซพิษเพียงแค่ 0.04% ของปริมาณก๊าซพิษทั้งโลก แต่กลับต้องเผชิญมหันตภัยอย่างหนักหน่วงซึ่งดูไม่เป็นธรรมเอาเสียเลย

ในเวทีโลกร้อนที่มาราเกซ ฟิจิ และอีก 46 ประเทศประกาศแผนลดโลกร้อนด้วยการใช้พลังงานสะอาดในช่วงตั้งแต่ 2573-2593

แผนดังกล่าวถือเป็นการเย้ยหยันประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐที่ปล่อยก๊าซพิษสู่ชั้นบรรยากาศมากเป็นอันดับสองของโลก

 

กลับไปที่ “ทรัมป์” หลังจากสื่อ นักวิชาการและผู้นำหลายประเทศพากันรุมโจมตีพฤติกรรมขวางโลกและแนวคิดแผลงๆ อย่างเช่น จะสร้างกำแพงกั้นชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก ป้องกันชาวเม็กซิกันลักลอบเข้าเมือง รวมถึงสนับสนุนการใช้ถ่านหิน และต่อต้านแนวคิดลดโลกร้อน

ปรากฏว่า “ทรัมป์” มีท่าทีอ่อนลง โดยเฉพาะกรณี “โลกร้อน”

จากเดิมที่ไม่เชื่อว่า สาเหตุเกิดภาวะโลกร้อนเพราะคน เมื่อไม่กี่วันก่อนว่าที่ผู้นำอเมริกาพลิกท่าทีหันมายอมรับว่า คนมีส่วนทำให้เกิดสภาวะภูมิอากาศแปรปรวนอยู่บ้าง แต่ไม่รู้ว่ามากน้อยเท่าไหร่

เมื่อนักข่าวถามว่า ยังยืนยันจะให้สหรัฐถอนตัวออกจากข้อตกลงลดโลกร้อนกรุงปารีส

นายทรัมป์เลี่ยงตอบคำถามนี้ตรงๆ ได้แค่พูดว่า

“ผมกำลังดูเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด แต่สิ่งที่สำคัญสุดนั่นคือ อากาศสะอาด น้ำใสบริสุทธิ์”

ว่าที่ผู้นำสหรัฐคนใหม่ เปลี่ยนท่าทีอย่างนี้ เป็นเครื่องยืนยันว่าปรากฏการณ์โลกร้อนไม่ใช่เรื่องขี้ปะติ๋ว