ยานยนต์ สุดสัปดาห์/สันติ จิรพรพนิต/’นิสสัน เทียน่า’ 2.5XV Navi เรียบหรู-ขับสบายเหมือนเดิม

สันติ จิรพรพนิต

ยานยนต์ สุดสัปดาห์/สันติ จิรพรพนิต [email protected]

‘นิสสัน เทียน่า’ 2.5XV Navi

เรียบหรู-ขับสบายเหมือนเดิม

 

“นิสสัน เทียน่า” กับผมแล้วถือว่าคุ้นเคยและสร้างความประทับใจตั้งแต่รุ่นแรกที่นำมาจำหน่ายในเมืองไทย

เนื่องจากโดยส่วนตัวผมเป็นคนที่ชอบรถที่นุ่ม เงียบ และช่วงล่างไม่สวิงสวายเวลาเข้าโค้งแรงๆ

ผมยังจำความรู้สึกแรกที่ได้ลองขับเทียน่าเมื่อหลายปีก่อนได้ดี เพราะรำพึงกับตัวเองว่า

“ทำไมมันเงียบจัง (วะ)”

ยิ่งตอนจอดติดไฟแดงได้ยินเสียงภายนอกเข้ามาน้อยมาก

บวกกับเป็นคนที่ชอบขับรถโดยไม่เปิดเพลง หากรถเก็บเสียงได้ไม่ดีจะรำคาญเสียงเครื่องยนต์และเสียงภายนอกที่เล็ดลอดเข้ามามาก

เทียน่าตอบทุกความชอบของผมได้อย่างลงตัว

ผมจึงไม่พลาดในทุกๆ ครั้งที่เทียน่าออกรุ่นใหม่ที่จะต้องไปขอสัมผัสการใช้งานจริง

ล่าสุดเทียน่าก็ออกรุ่นไมเนอร์เชนจ์เมื่อช่วงปลายปี 2561 ซึ่งน่าจะเป็นการ “เชนจ์” ครั้งสุดท้ายแล้ว

เมื่อสบโอกาสจึงขอยืมรถมาทดสอบในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

 

เทียน่าใหม่ออกแบบภายใต้แนวคิด “Energetic Flow” หรือดีไซน์ที่ทรงพลัง สง่างาม ปราดเปรียว

แน่นอนว่าด้านหน้าไม่พ้นกระจังแบบ “V-Motion” และไฟหน้าทรงบูมเมอแรงแบบโปรเจ็กเตอร์เลนส์ เอกลักษณ์การออกแบบรถยนต์นิสสันในปัจจุบัน ต่ำลงมาเป็นไฟตัดหมอก

เส้นสายด้านหน้าใหม่ เริ่มจากบริเวณเสาที่เชื่อมระหว่างตัวถังส่วนหน้าและหลังคารถยนต์ หรือเสา A (A-pillars)

ฝากระโปรงมีเส้นสายที่ดูพลิ้วไหวมากขึ้น

ตกแต่งจากวัสดุโครเมียมรอบคัน ทั้งกระจังหน้า มือเปิดประตู ขอบกระจกประตู และฝากระโปรงท้าย

ติดตั้งหลังคาซันรูฟ เป็นกระจกนิรภัยกรองแสงแดดและรังสีอัลตราไวโอเลต (UV Cut) พร้อมสวิตช์ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าแบบวันทัชและระบบป้องกันการหนีบ (Anti-Jam)

ล้ออัลลอยใหม่ขนาด 18 นิ้ว ดูดีมีชาติตระกูลมาก

ท่อไอเสีย 2 ท่อ

ภาพรวมถือว่าปรับให้ดูสปอร์ตขึ้น

 

ภายในเป็นจุดเด่นของรถในกลุ่มนี้อยู่แล้ว เนื่องจากเป็นกึ่งๆ รถผู้บริหาร เรียกว่านั่งหลังก็ดูหรูหรา จะขับเองก็ดูภูมิฐาน

รุ่นที่ได้มานี่เป็นรุ่นท็อป ภายในเน้นโทนดำตกแต่งด้วยเมทัลลิก

พวงมาลัย 3 ก้านพร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่นพร้อมปุ่ม Cruise Control แผงหน้าปัดติดตั้งหน้าจอภาพแบบ 3 มิติ

ตรงกลางเป็นหน้าจอเครื่องเสียงรองรับทุกระบบ ส่งภาพจากกล้องมองหลังกับกล้องมองรอบคันมาให้ด้วย พร้อมระบบนำทาง

ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone ควบคุมอุณหภูมิอิสระซ้าย-ขวา

พลาดไม่ได้กับชุดเครื่องเสียงจาก BOSE แบรนด์ไฮเอนด์ระดับโลก ออกแบบเป็นพิเศษให้เหมาะสมกับระบบเสียงแบบอะคูสติกในห้องโดยสาร มีแอมป์ระบบดิจิตอล พร้อม Digital Signal Processing (DSP) และลำโพง 9 ตัว

ต่อให้คุณหูเทพขนาดไหน เครื่องเสียงและลำโพงชุดนี้เหลือเฟือแล้วครับ

เบาะหนังนั่งสบายออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์เพื่อกระจายแรงกดทับและรองรับกระดูกสันหลัง

มีระบบ “Welcome Seat” เบาะนั่งคนขับปรับถอย-เดินหน้าอัตโนมัติ 40 มิลลิเมตร เพื่อความสะดวกขณะขึ้น-ลงจากรถ และระบบบันทึกตำแหน่งเบาะนั่งของผู้ขับขี่ Memory Seat 2 หน่วยความจำ ปรับตำแหน่งเบาะนั่งและกระจกมองข้างตามความต้องการที่แตกต่างของผู้ขับขี่แต่ละคนโดยอัตโนมัติ

เบาะนั่งคนขับปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมปุ่มปรับดันหลังไฟฟ้า ส่วนเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง

เบาะด้านหลังพับแยกแบบ 60:40 พร้อมพื้นที่เก็บสัมภาระท้ายรถกว้างขวางเปิดทะลุถึงห้องโดยสารได้

มีช่องแอร์ให้ผู้โดยสารตอนหลังด้วย

 

ส่วนเทคโนโลยีต่างๆ ยี่ห้อนิสสัน การันตีว่าจัดหนักแน่นอน เพราะขนาด “โน้ต” ที่เป็นอีโคคาร์ ยังใส่มาเพียบ แล้วรุ่นใหญ่จะพลาดได้ยังไง

พระเอกของงานไม่พ้น “กล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง – Intelligent Around View Monitor” (IAVM) มองเห็นสภาพรอบตัวแบบภาพมุมสูง ช่วยได้มากระหว่างถอยจอดหรือเคลื่อนตัวไปข้างหน้าในพื้นที่แคบๆ

นอกจากนี้มีระบบตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนวัตถุและบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน หรือ Moving Object Detection (MOD) ส่งสัญญาณเตือนทุกครั้งเมื่อมีวัตถุหรือบุคคลที่เคลื่อนไหวอยู่ใกล้ตัวรถ โดยจับการเคลื่อนไหวจากภาพของกล้องที่อยู่รอบๆ ในขณะจอดรถ หรือมีการเคลื่อนตัวช้าๆ

สามารถแจ้งเตือนผู้ขับได้ใน 3 สถานการณ์ คือ เมื่อรถจอดหรือหยุดนิ่ง เมื่อรถเคลื่อนตัวไปข้างหน้า หรือเมื่อเคลื่อนถอยหลัง

เทคโนโลยีเตือนจุดบอดหรือจุดอับสายตาอัจฉริยะ หรือ Blind Spot Warning (BSW) ทำงานเมื่อพบว่ามียานพาหนะอื่นเข้าใกล้ตัวรถในบริเวณจุดอับสายตา และทำการแจ้งเตือนที่กระจกมองข้างทั้งสองด้าน โดยคนขับจะได้รับทั้งเสียงเตือนและสัญญาณไฟกะพริบที่บริเวณกระจกมองข้าง

เทคโนโลยีเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทางอัจฉริยะ หรือ Lane Departure Warning (LDW) ส่งเสียงเตือนเมื่อขับคร่อมเลนโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว จะทำงานเมื่อมีการขับเคลื่อนด้วยความเร็วมากกว่า 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง

อื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น ระบบช่วยควบคุมทิศทางขณะเลี้ยว ช่วยให้เข้าโค้งได้คมขึ้น ป้องกันอาการหน้าดื้อโค้ง (understeer)

ระบบช่วยควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัตโนมัติ

ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี

ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน

ถุงลมนิรภัย 6 ลูก ฯลฯ

 

ก่อนขึ้นรถลองเล่นระบบสตาร์ตเครื่องยนต์ด้วยรีโมตและเปิดเครื่องปรับอากาศ ซึ่งเป็นออปชั่นที่ใส่ในรถหลายๆ รุ่น เหมาะกับเมืองร้อนอย่างบ้านเราที่หลายๆ ครั้งไม่สามารถหลีกเลี่ยงการจอดรถกลางแดดได้

ในรถมีปุ่มสตาร์ต-สต๊อปมาให้ด้วย

รุ่นท็อปใช้เครื่องยนต์ DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว 2.5 ลิตร ระบบส่งกำลังแบบ XTRONIC CVT กำลังสูงสุด 173 แรงม้า แรงบิดสูงสุดที่ 234 นิวตัน-เมตร

ส่วนอีกรุ่นที่ต่ำกว่าเป็นเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร

การออกตัวด้วยรถที่มีน้ำหนักขนาดนี้แม้จะได้เครื่องขนาด 2.5 ลิตร ไม่ได้หวือหวามากนัก แต่ถ้าเป็นความเร็วกลางและปลายไหลกันได้สุดๆ

ผมซัดไปปริ่มๆ 190 กิโลเมตร/ชั่วโมง ยังมีระยะให้ไปได้อีก แต่คิดว่าแค่นี้ก็เกินพอแล้ว

อ้อ…ผมลองความเร็วปลายบนทางด่วนตอนกลางคืน ที่ถนนเหงาๆ นะครับ

ความเร็วขนาดนั้นพวงมาลัยยังนิ่งไว้ใจได้ ช่วงล่างหายห่วง หนึบ-แน่น ไม่มีความรู้สึกโหวงๆ เลย

ในความเร็วกลางเวลากระชากเปลี่ยนเลน หรือต้องการเร่งแซงทำได้กระชับ

เข้าโค้งไม่มีวืดให้รู้สึก พวงมาลัยแม่นยำและน้ำหนักกำลังเหมาะ

พลาดไม่ได้กับความเงียบและนุ่มนวล ยังเป็นจุดเด่นที่ผมประทับใจไม่หาย

แม้ “นิสสัน เทียน่า” จะเป็นรถที่อยู่ในช่วงปลายอายุแล้ว แต่ด้วยออปชั่นและโปรโมชั่นที่น่าจะไม่น้อย ทำให้ยังน่าสนใจ

เพราะสมรรถนะ ความสะดวกสบาย และความไฮเทค เกินราคาไปโข

ถือว่าเทียบชั้นรถยุโรปได้เลย

มีให้เลือก 4 รุ่นย่อย เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ราคา 1,339,000-1,476,000 บาท

และรุ่นที่ผมนำมาทดสอบ 2.5XV Navi ราคา 1,674,000 บาท