“สายบุรี ลุคเกอร์” ลมหายใจของสันติภาพ

ชื่อ “สายบุรี ลุคเกอร์” กับ “อานัส พงศ์ประเสริฐ” ไม่แปลกใหม่นักสำหรับผมและคนไทยส่วนหนึ่งซึ่งใส่ใจอยู่กับบ้านเกิดเมืองนอนและปัญหาที่หลายพื้นที่เผชิญอยู่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

แต่ในทันทีที่ “คาเหล็บ ควินลีย์” แห่งอัลจาซีรา หยิบเอาเรื่องราวของสายบุรี ลุคเกอร์ และอานัส พงศ์ประเสริฐ มาเล่าผ่านช่องทางสื่อหลากหลายของตัวเองเมื่อ 8 มกราคมที่ผ่านมา

ผมก็เลือกที่จะหยิบเรื่องนี้มาบอกเล่าต่ออีกครั้งอย่างเต็มใจ

 

ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า เพราะชื่นชอบแนวคิดและแนวปฏิบัติของหนุ่มๆ ปัตตานีจากลุ่มน้ำสายบุรีกลุ่มนี้มานานแล้ว

ผมเรียกพวกเขาลับหลังว่า “ลมหายใจของสันติที่ชายแดนใต้” ครับ

รู้จักเขาข้างเดียวมาตั้งแต่ 3-4 ปีที่แล้ว แต่ยังยินดีบอกเล่าเรื่องราวของเขาซ้ำในเพลานี้ ผ่านมุมมองอานัสเองที่ถ่ายทอดผ่านข้อเขียนของควินลีย์อีกครั้ง 6-7 ปีหลังจากที่อานัสก่อตั้ง “สายบุรี ลุคเกอร์” ให้เป็นผู้เฝ้ามองสถานการณ์ความขัดแย้ง หยิบมาสังเคราะห์ แล้วนำมาถ่ายทอดใหม่สู่สายตาของทุกคน ทุกฝ่ายในรูปผลงานและกิจกรรมเชิงศิลปะหลากหลาย

สิ่งที่ถูกเติมลงไปเพื่อนำมาถ่ายทอดใหม่ คือทัศนะที่แจ่มใส มุมมองที่ชัดเจน ต่อสันติ เท่าเทียม เสมอภาค ของอานัสและสายบุรี ลุคเกอร์

จริงๆ ผมรู้สึกดีใจไม่น้อยด้วยซ้ำไปที่ปรากฏรายงานชิ้นนี้ของควินลีย์ที่ถ่ายทอดทัศนะของสายบุรี ลุคเกอร์ ให้กว้างออกไปกว่าอาณาบริเวณ 3 จังหวัดภาคใต้และเขตแดนประเทศไทย

 

อานัสพยักพเยิดให้ควินลีย์ดูซากอาคารที่ยังคงถูกทิ้งไว้เป็นอนุสรณ์ในย่านคนจีนของสายบุรี แม้จะเหลือเพียงโครงร่างหงิกงอดำเป็นตอตะโกก็ตาม “นั่นคือจุดที่คาร์บอมบ์ระเบิด” เขาบอก “คนตายมีทั้งพุทธ ทั้งมุสลิม เกิดขึ้นทั้งๆ ที่ทั้งชุมชนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ไม่มีเค้าลางมาก่อน”

อานัสเล่าให้ควินลีย์ฟังว่า เขานั่งมองบ้านเกิดของตัวเองลุกเป็นไฟผ่านหน้าจอโทรทัศน์ตอนที่ยังเรียนหนังสืออยู่ในกรุงเทพฯ

ตอนที่ช่างภาพและผู้สร้างภาพยนตร์รายนี้กลับบ้านมา สายบุรีเปลี่ยนแปลงแตกต่างไปจากเดิมอย่างเหลือเชื่อ สิ่งที่สังเกตพบเห็นเป็นอย่างแรกคือ ทหารกับด่านบนเส้นทางทุกสาย ถัดมาคือความรุนแรง เข่นฆ่าไม่เลือกหน้าจากทั้งฝ่ายปราบปรามและฝ่ายต่อต้านอำนาจรัฐ

นั่นคือเหตุผลที่ทำให้อานัสจับมือกับศิลปินหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่ง ก่อตั้งสายบุรี ลุคเกอร์ ขึ้นมาในปี 2012

เบิกฤกษ์ครั้งแรกด้วยงานศิลปะบนกำแพงของศิลปินแวรง แวโน ที่ถือว่าเป็นความองอาจ กล้าหาญอย่างยิ่งในยามนั้น

“ในทางหนึ่ง นั่นคือการแสดงออกถึงการดื้อแพ่งเงียบเป็นครั้งแรก เป้าหมายเพื่อบรรเทาความตึงเครียดที่แทรกซึมเข้าไปในถนนทุกสายของสายบุรีในเวลานั้น” แวรงบอก

อานัสเล่าว่า ในปี 2012 นั้น สถานการณ์ไม่สงบพัฒนาไปอีกขั้นจากที่เคยเป็นมาตั้งแต่เริ่มระลอกใหม่ในปี 2004 เพราะในปีนั้น พลเรือนเริ่มตกเป็นเป้าโจมตีของผู้ต่อต้านอำนาจรัฐที่เรียกร้องการแบ่งแยกดินแดน ก่อความตึงเครียดในสังคม ลงลึกไปถึงระดับชุมชนย่อยหลากหลาย ซึ่งเคยอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติโดยไม่มีปมประเด็นปัญหาใหญ่โตใดๆ

จู่ๆ “ทุกคนก็ไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกันอีกแล้ว ไม่แน่ใจว่า ที่พูดคุยกันมีใครแอบฟังอยู่หรือไม่ ทุกคนกลัว หวาดระแวง ไม่กล้าแสดงออก”

อานัสบอกเพิ่มเติมว่า ความรู้สึกรวมๆ ก็คือ “เศร้าใจ” กับ “กลัว”

 

ประสบการณ์ส่วนตัวทำให้อานัสเข้าใจความหวาดระแวง ไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี ปู่ของอานัสเป็นผู้นำมุสลิมมีชื่อ แต่น้องชายของปู่กลับอยู่ในรายชื่อบุคคล “หัวรุนแรง” ของทหาร ครอบครัวถูกแวะเวียนมาสอบสวนบ่อยครั้ง หากปราศจากการทำความเข้าใจซึ่งกันและกันให้ดี ไม่ยากที่ความไม่ไว้วางใจจะขยายตัวเบ่งบานออกไปมากขึ้นและมากขึ้น

เหล่านั้นคือสิ่งที่ “สายบุรี ลุคเกอร์” ใช้ศิลปะเป็นอาวุธเดินหน้าต่อสู้ฝ่าฟันเรื่อยมา

กิจกรรมของกลุ่มมีหลากหลาย ทั้งใช้ศิลปะเป็นการแสดงออก อ่านบทกวี เรื่อยไปจนถึงการจัดคอนเสิร์ตสดๆ เพลงมีตั้งแต่ลูกทุ่ง ไปยันป๊อป แจ๊ซ และบลูส์ เปิดกว้างรับทุกคนทุกฝ่ายเข้าร่วม

ทหารไม่ต่อต้าน กลุ่มติดอาวุธก็ไม่คัดค้าน อานัสบอกว่าพวกเขาไม่ได้ทำงานร่วมกับกลุ่มติดอาวุธโดยตรง แล้วก็ไม่คาดหวังว่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงแรงกล้าต่อกลุ่มอีกด้วย

แต่ถ้าอยากเข้ามาร่วมก็ยินดีต้อนรับ ยินดีผูกสัมพันธ์ เพราะเชื่อว่าจะนำไปสู่ความเข้าใจ “ซึ่งกันและกัน” มากยิ่งขึ้น

แก่นสาระหลักที่สายบุรี ลุคเกอร์ ถ่ายทอดออกมาซ้ำแล้วซ้ำอีกในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็คือ จังหวัดทางใต้สุดของไทยก็เหมือนกับดินแดนส่วนอื่นๆ ของประเทศ

อยากได้ใคร่มีชีวิตปกติธรรมดาและสงบสันติเหมือนที่อื่นๆ เหมือนกัน

“เราอยากให้ทุกคนรู้ว่า พวกเราที่นี่ก็เป็นเหมือนกับคนอื่นๆ เหมือนกัน” อานัสบอก “เราอาจมีหนวด เราอาจแต่งตัวไม่เหมือนคุณ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราต้องการอะไรต่างออกไปจากคนไทยคนอื่นๆ เรารักเสียงเพลง งานเขียน ศิลปะ เหมือนกับคนไทยคนอื่นๆ เหมือนกัน”

“รูปร่างหน้าตาเราอาจแตกต่าง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ใช่ไทยเหมือนคนอื่นๆ”

บอกแล้วไงครับว่า ผมดีใจที่สันติที่ชายแดนใต้ยังมีลมหายใจอยู่ได้มาจนถึงวันนี้ครับ