บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ/ เซอร์ไพรส์ ไร้เสียงต้าน ‘สุเทพ’ ในถิ่นเสื้อแดง

บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ

เซอร์ไพรส์

ไร้เสียงต้าน ‘สุเทพ’ ในถิ่นเสื้อแดง

 

ตอนแรกๆ ของการเดิน “คารวะแผ่นดิน” ในเขตกรุงเทพฯ ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำกลุ่ม กปปส.หรือกลุ่มนกหวีด ซึ่งปัจจุบันมีสถานะเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ปรากฏว่ามีผู้ต่อต้าน บ้างก็อ้างว่าเป็นคนที่เคยร่วมต่อสู้กับนายสุเทพ มีภาพคนนำเอานกหวีดมาคืนโดยอ้างว่าผิดหวังที่นายสุเทพผิดคำสัญญาว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง

แต่จำนวนหนึ่งก็เป็นพวกที่อยู่ตรงข้ามนายสุเทพอยู่แล้ว เพียงแต่สบโอกาสก็ระบายอารมณ์ใส่ แต่เมื่อไม่ได้ใส่เสื้อหรือติดสัญลักษณ์ว่าเคยสังกัดสีใดมาก่อน ก็ทำให้มีการเหมาว่าคนกรุงเทพฯ หรือกลุ่มนกหวีดหมดรักสุเทพ

ต่อมาเมื่อนายสุเทพและคณะไปเดินหาเสียงที่ตลาดมหาราช เทศบาลเมืองกระบี่ ซึ่งเป็นฐานเสียงที่มั่นของพรรคประชาธิปัตย์ที่นายสุเทพเคยสังกัดมาก่อน เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ปีที่แล้ว ก็มีผู้ชายคนหนึ่งมาตะโกนขับไล่นายสุเทพว่า “ไม่เอาเทพเทือก”

ทำให้สื่อมวลชนตีข่าวโหมกระพือในทำนองว่า แม้แต่ภาคใต้ถิ่นของนายสุเทพ ยังถูกต่อต้าน ซึ่งข่าวเชิงลบดังกล่าวก็น่าจะดิสเครดิตพรรค รปช.ได้ไม่น้อย

 

ชายคนดังกล่าวทราบชื่อในภายหลังว่า นายไพบูลย์ หรือบังเหร็ด เกกินะ อายุ 50 ปี เป็นอดีตผู้ใหญ่บ้านในกระบี่ ปัจจุบันเป็นสมาชิก อบต.ไสไทย อ.เมืองกระบี่ โดยบังเหร็ดอ้างว่าที่ตะโกนขับไล่เพราะไม่พอใจที่นายสุเทพเคยประกาศว่าจะไม่ยุ่งการเมืองอีก การมาขับไล่ครั้งนี้ไม่ได้วางแผนมาก่อน ไม่มีใครจ้าง

แต่ว่าบังเหร็ดก็ไม่เนียนเอาเสียเลย เพราะความมาแตกในกลางเดือนธันวาคม

เมื่อนายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธาน นปช. ที่ออกตัวว่าเป็นเพียงกองเชียร์ของพรรคเพื่อชาติ ที่มีนายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ (เจ้าของห้างอิมพีเรียล) เป็นหัวหน้าพรรค เดินทางไปกระบี่เพื่อเปิดสาขาพรรค

ปรากฏว่าบังเหร็ดโผล่ไปต้อนรับคณะของนายจตุพรด้วย

ไม่โผล่ไปต้อนรับเปล่า แต่บังเหร็ดใส่เสื้อแดงไปด้วย ทั้งที่คณะส่วนใหญ่ของนายจตุพรแทบไม่มีใครใส่เสื้อแดง (อย่างน้อยระดับแกนนำก็พยายามสลายสี)

ดังนั้น การไปตะโกนไล่นายสุเทพในวันนั้นของบังเหร็ด จึงไม่ใช่ความรู้สึกของคนกลางๆ แต่เป็นความรู้สึกของคนเสื้อแดงแจ๋ ที่มีต่อนายสุเทพ

ด้วยเหตุนั้น จึงไม่ได้หมายความว่านายสุเทพสูญเสียเสียงสนับสนุนในภาคใต้ที่เคยมีอยู่เดิม

 

แต่ไฮไลต์ที่น่าจับตาของการเดินคารวะแผ่นดิน อยู่ที่ “ถิ่นเสื้อแดงเข้มข้น” ต่างหาก เพราะน่าลุ้นว่าหนังม้วนเดิมจะกลับมาอีกหรือไม่

หนังม้วนเดิมที่ว่าก็คือ หากฝ่ายตรงข้ามของเสื้อแดง ย่างเท้าเข้าไปถิ่นเสื้อแดง มีโอกาสจะถูกทำร้ายร่างกายสูง อย่างที่นายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำเสื้อแดงเมืองอุดรฯ ที่ว่ากันว่าใหญ่ขนาดคุมตำรวจในพื้นที่ได้ เคยยกพวกพร้อมอาวุธไล่ตีเสื้อเหลืองจนบาดเจ็บสาหัสหลายคนมาแล้ว

ทว่าความน่าประหลาดใจเกิดขึ้น เมื่อปรากฏว่าไร้การต่อต้านจากคนเสื้อแดง เมื่อนายสุเทพนำคณะไปเดินหาเสียงที่อุดรธานี หนองคาย บุรีรัมย์ และอีกหลายจังหวัด โดยไม่มีแม้แต่เสียงตะโกนด่าหรือนำพวกมาป่วนแต่อย่างใด

เฉพาะที่อุดรธานีนั้น เคยได้ชื่อว่า “เมืองหลวงคนเสื้อแดง” แต่คราวนี้กลับเงียบสงบ ไร้การเคลื่อนไหว

ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะขาดแกนนำสำคัญอย่างนายขวัญชัยที่ติดคุกและเป็นอัมพฤกษ์ หรือเป็นเพราะมีแกนนำคนอื่นส่งสัญญาณว่าให้อยู่เงียบๆ เพราะกลัวจะเป็นเหตุให้ คสช.เลื่อนเลือกตั้งโดยอ้างเหตุยังไม่เกิดความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง

หรือว่าเป็นเพราะคนเสื้อแดง “สำนึก” ได้เองว่า การใช้กำลังมีแต่ทำให้พ่ายแพ้ หลายคนติดคุกติดตะรางไปเพราะถูกยุยงให้ใช้ความรุนแรง ทั้งเผาศาลากลาง ใช้อาวุธ ฯลฯ

ถ้าเป็นเพราะ “สำนึก” ได้ ก็แสดงว่าคนเสื้อแดงเข้าใจประชาธิปไตยขั้นพื้นฐานที่สำคัญสุด นั่นคือการเปิดกว้างให้กับคนอื่นที่เห็นต่างจากตัวเองโดยไม่ใช้กำลังไปทำร้าย หรือขัดขวางการหาเสียงของฝ่ายตรงข้ามอย่างที่เคยทำ

ถ้ายังไม่เข้าใจพื้นฐานสำคัญนี้เสียแล้ว แม้เลือกตั้งไป ก็ไม่ช่วยให้ประชาธิปไตยเจริญ เพราะคนที่ไม่ใจกว้าง ก็เป็นประชาธิปไตยไม่ได้อยู่ดีในทางพฤตินัย ความเจริญด้านอื่นๆ ก็จะไม่ตามมาเช่นกัน

 

อีกพื้นที่หนึ่งที่น่าจับตาก็คือพัทยา ซึ่งก็เซอร์ไพรส์อีกเช่นกัน เพราะไม่มีการต่อต้านจากคนเสื้อแดง ซึ่งอาจเป็นเพราะแกนนำ “แดงตัวแม่” อย่างนางจุรีพร สินธุไพร เศรษฐีอสังหาริมทรัพย์พัทยา สร้างความตกตะลึงครั้งใหญ่ ด้วยการไปอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ ที่รู้กันเป็นนัยๆ ว่าเป็นพรรคที่ตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ปัจจุบันนางจุรีพรเป็นรองนายก อบจ.ร้อยเอ็ด และเป็นน้องสาวนายนิสิต สินธุไพร อดีต ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย การย้ายมาอยู่พลังประชารัฐ ทำให้แม้แต่นายนิสิตยังมึนงงว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นางจุรีพรยืนยันว่าคิดดีแล้ว

ส่วนคุณทักษิณ ชินวัตร งงเป็นไก่ตาแตกยิ่งกว่า โดยมีข่าวว่าได้ยกหูโทรศัพท์มาถามไถ่คนในพรรคเพื่อไทยว่าทำไมนางจุรีพรย้ายไปอยู่กับฝ่ายตรงข้าม

ที่ต้องถามไถ่เพราะนางจุรีพรเคยเป็นกำลังหลักภาคตะวันออกของพรรคเพื่อไทย เมื่อเธอไม่อยู่เสียแล้ว ทักษิณก็ย่อมหวั่นไหวเป็นธรรมดา

จับใจความคร่าวๆ จากนางจุรีพร ถึงเหตุผลที่ย้ายพรรค ก็ประมาณว่าไม่อยากให้ประเทศชาติเกิดการแบ่งแยกแตกสีอีกต่อไป

แต่เหตุผลลึกๆ ก็คงมีเพียงนางจุรีพรที่รู้ สำหรับคนที่คิดมากหน่อย ก็อาจเลยเถิดไปถึงขั้นว่านางจุรีพรอาจเข้ามาเป็นงูเห่าในพรรคพลังประชารัฐหรือเปล่า