ฟ้า พูลวรลักษณ์ : โลกนี้มหัศจรรย์ขึ้น และแปลกประหลาดมากขึ้น

ฟ้า พูลวรลักษณ์

หนังสือเรียนสำหรับเด็ก เล่มใหม่ (๒๒)

ชีวิตของเราทุกวันนี้ อยู่ในโลกนิยายวิทยาศาสตร์

ฉันพูดเช่นนี้ เพราะ Moore”s Law เป็นความจริง

Moore”s Law เป็นข้อสังเกตของ Gordon E. Moore ที่เคยกล่าวไว้ในปี 1958 ว่า ปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวมจะเพิ่มเป็นเท่าตัวในทุกปี และจะเป็นอย่างนี้ไปอีกอย่างน้อยสิบปี

และต่อมาในปี 1975 เขาได้แก้ไขคำทำนายของเขาใหม่ ด้วยการบอกว่า ปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวม จะเพิ่มเป็นเท่าตัวทุกๆ สองปี

ในช่วงแรก กฎข้อนี้ก็ไม่มีผลอะไรเท่าไรนัก แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป และเพราะมันยังเป็นจริงอยู่ มันเกิดผลกว้างใหญ่ มิน่าเล่า มันมีผลต่อชีวิตมนุษย์ทุกรูปทุกนาม มันมีผลกระทบไปหมด โดยเริ่มจาก

๑ ความเร็วประมวลผล

๒ ความจุของแรม

๓ จำนวนพิกเซลของกล้องดิจิตอล

๔ ราคาต่อหน่วย

ข้อสังเกตนี้ ไม่ใช่กฎทางฟิสิกส์ หรือกฎธรรมชาติ มันเป็นเพียงข้อสังเกตที่น่าแปลกใจ แต่กาลเวลาพิสูจน์แล้วว่ามันเป็นจริง อย่างน่าตื่นตะลึง มันจึงกลายเป็นกฎสำคัญ ที่มีผลต่อวงการธุรกิจ อุตสาหกรรม มันกลายเป็นโมเดลในการวางแผน มันมีผลต่อ

๑ ความเปลี่ยนแปลงทางสังคม

๒ กำลังในการผลิต

๓ ความเติบโตทางเศรษฐกิจ

ที่จริงความเร็วนี้เป็นเพียงค่าประมาณ มันไม่ได้จริงแบบนั้นตายตัว แต่โดยรวมคือกฎข้อนี้ใช้ได้ เช่นบางช่วง แทนที่จะเพิ่มหนึ่งเท่าตัวในสองปี มันกลายเป็นเพิ่มหนึ่งเท่าตัวในสองปีครึ่ง หรือสามปี

แต่มันก็เพิ่มขึ้นจริงๆ อย่างเป็นเอ็กโพเนนเชียล หรือแบบทวีคูณ ซึ่งเป็นแบบเดียวกับการเติบโตของสิ่งมีชีวิต

กฎข้อนี้จะต้องมีจุดสิ้นสุด เพราะไม่เช่นนั้นทั้งจักรวาลก็ล่มสลาย นักวิชาการคาดเดาว่า มันจะสิ้นสุดลงในช่วงกลางปีของทศวรรษ 2020 เหมือนแบคทีเรียที่แบ่งตัว ถึงจุดหนึ่งมันก็ต้องหยุดแบ่งตัว ด้วยเพราะขาดน้ำและอาหาร ขนาดของทรานซิสเตอร์ เมื่อเข้าใกล้ขนาดของอtตอม มันจะเข้าสู่ขอบเขตพื้นฐาน เราจะโตกว่านี้ไปได้ยาก

ด่านนั้นยังมาไม่ถึง แต่ใกล้เข้ามาแล้ว และหากมาถึง มนุษย์ก็ยังอาจมีความสร้างสรรค์อื่นใดอีกในแขนเสื้อของเขา เรายังไม่รู้

แต่แค่ที่เรารู้แล้ววันนี้ ก็มหัศจรรย์ยิ่งนักแล้ว แปลกประหลาดเหลือเชื่อแล้ว

เพื่อให้เห็นจริง เราควรเขียนให้เห็นภาพ โดยเอาปี 1958 เป็นตัวตั้ง และสมมุติค่าของมันคือ 1 เรามาดูว่า Moore”s Law หากเป็นจริงจะเกิดอะไรขึ้น

1958 1

1960 2

1962 4

1964 8

1966 16

1968 32

1970 64

1972 128

1974 256

1976 512

1978 1,024

1980 2,048

1982 4,096

1984 8,192

1986 16,384

1988 32,768

1990 65,536

1992 131,072

1994 262,144

1996 524,288

1998 1,048,576

2000 2,097,152

2002 4,194,304

2004 8,388,608

2006 16,777,216

2008 33,554,432

2010 67,108,864

2012 134,217,728

2014 268,435,456

2016 536,870,912

2018 1,073,741,824

2020 2,147,483,648

2022 4,294,967,296

2024 8,589,934,592

2026 17,179,869,184

การที่ฉันเขียนลงมาหมด เพราะภาพที่เห็นเหนือกว่าคำพูด มันทำให้เราเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับโลกนี้ ยิ่งตัวเลขขวามือขึ้นสูงเท่าไร เราก็ยิ่งตกอยู่ในโลกของนิยายวิทยาศาสตร์มากขึ้นเท่านั้น ด้วยเพราะมันมหัศจรรย์ขึ้น แปลกประหลาดขึ้น และสังคมของเรายิ่งเปราะบางลง ฉันยิ่งเข้าใจตัวเองมากขึ้น ว่าทุกวันนี้ฉันอยู่ที่ไหน ทำไมฉันเหงา ทำไมฉันจนมุม

ฉันเกิดในปี 1953 ดังนั้น ฉันจึงสามารถสมมุติให้ปี 1958 ที่ Moore เสนอข้อสังเกตนี้เป็นตัวตั้งได้ ว่าค่าของปริมาณของทรานซิสเตอร์ในวันนั้นคือ 1 และเฝ้าติดตามการเคลื่อนไหว จนมันกลายมาเป็นพันล้านเท่าในวันนี้ แรงกดดันของมันมหาศาล

แต่สมมุติเด็กคนหนึ่งเกิดมาในปี 2010 ล่ะ เท่ากับวันนี้เขามีอายุ ๘ ขวบเท่านั้น โดยสมม6ติว่าค่าของปริมาณของทรานซิสเตอร์ในปีที่เขาเกิดคือ 1 ด้วยเขาเกิดมาในยุคดิจิตอล เขาจะคุ้นเคยกับโลกแบบนี้

2010 1

2012 2

2014 4

2016 8

2018 16

2020 32

2022 64

2024 128

2026 256

จะเห็นว่า เขายังมีศักยภาพในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ด้วยเพราะแม้ถึงวันที่ Moore”s Law หยุดทำงานแล้ว เขาก็ยังพบว่าโลกนี้เปลี่ยนแปลงไม่มากนัก มันเป็นโชคดี ที่เขาเกิดมาในโลกนี้ ในวันที่ทุกอย่างเหมือนเนรมิตให้เขาแล้ว แต่ทว่ายังมีอะไรอีกมากรอคอยพวกเขาอยู่ สิ่งซึ่งฉันก็ไม่รู้ แต่เด็กเหล่านี้เกิดมาพร้อมกับมีไอโฟนในมือ

คุณเป็นคนรุ่นไหน อาจเป็นรุ่น X หรือ Y หรือ Z คุณสามารถเข้าไปแทนที่ ในปีเกิดของคุณ โดยเริ่มต้นนับ 1 ใหม่ในปีนั้น แล้วคุณจะเข้าใจว่า ความเหนื่อยยากในโลกนี้เกิดขึ้นจากอะไร และทำไม มันจึงกดดันรุนแรงปานนี้

ฉันอยู่ในยุคสมัยก่อนรุ่น X เสียอีก ดังนั้นไม่น่าแปลกใจ หากฉันเศร้า หรือฉันเหงา

ฉันเคยหนีโรงเรียน เคยใช้ชีวิตทั้งวัน ไม่ทำอะไรเลย นอกจากเดินเล่น นั่งเล่น

แต่ในวันนี้ ด้วย Moore”s Law ฉันรู้แล้วว่า ฉันกำลังเดินเล่นอยู่ที่ไหน นั่งเล่นอยู่ที่ไหน