อนุสรณ์ ติปยานนท์ : การหนีห่าง

รัก/หลง/เมือง (5)

ดวงตะวันนับคือราตรี ผ่านปี

ดาวและเดือนเคลื่อนหมุน ผ่านไป ผ่านมา

ใจเธอยังคงสับสนอยู่บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง

คอยหมุนผ่านไป รอบกายฉัน

 

นั่งมองดูดวงดาวฉันมองเห็นเธอสุขสกาว

ส่องแสงเรืองรองนับกลางใจ

เธอเหมือนดวงดาวส่องแสง

 

วันดีคืนดีเธอหายลับไปจากดวงตาฉัน

มองไม่เห็นดวงใจเธอนั้น

เธอเหมือนดวงดาวที่คอยหนีห่าง…

                            หนีห่าง
บทเพลงโดย เขียนไขและวานิช

 

นับแต่นาทีแรกที่เห็นภาพ ร่างกายของเขาเย็นเฉียบ เขาลืมทุกสิ่งที่ท่องจำ เขาลืมบทสนทนาที่ตระเตรียมไว้

เขาอาจคิดถึงเธอในภาพที่แตกต่าง

เธอในชุดลำลอง

เธอในวัยเด็กภายใต้ชุดนักเรียนตัวน้อย

เธอในวัยรุ่นภายใต้เสื้อยืดและกางเกงยีนส์

เธอภายใต้ชุดที่บางเบา

แต่ภาพของเธอที่เกาะกุมแขนของผู้ชายอีกคนเป็นภาพที่เขาไม่เคยนึกถึง

ไม่เคยคิดคำนวณถึงและไม่เคยแม้แต่จะคิดว่ามันอาจมีอยู่จริง

ขาของเขาไม่เคลื่อนที่ ร่างกายของเขาไม่เคลื่อนที่ ลมหายใจของเขาแผ่วเบาและถูกขับออกจากปอดอย่างลำบากยากเย็น

ทั้งหมดนี้เป็นความจริงหรือ

ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เขาต้องเผชิญหรือ

ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เขาต้องยอมรับหรือ

หญิงสาวผู้ที่เขาใฝ่ฝันถึงเป็นหญิงสาวของบุคคลอื่น

หญิงสาวผู้ที่เขาใฝ่ฝันถึงเป็นหญิงสาวที่อยู่ภายใต้การครอบครองของใครบางคน

หญิงสาวผู้นั้นเดินเกาะกุมท่อนแขนของชายใกล้ตัวอย่างสนิทสนม

สีหน้าของเธอมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน กระโปรงสีฟ้าเข้ม น่าจะชักชวนให้ใครก็ตามที่เห็นมันรู้สึกได้ถึงท้องฟ้าที่สว่างไสว อบอุ่น เปี่ยมด้วยแสงแดดและประกายเมฆ

แต่สำหรับเขาแล้ว สีฟ้าบนร่างกายของเธอกลับทำให้เขารู้สึกหม่นเศร้า

เขานึกถึงความทุกข์

เขานึกถึงความเจ็บปวด

เขานึกถึงความทรมานจำนวนมากมาย

นับจากนี้อย่างน้อยก็ในยามที่เขาคิดถึงเธอ

 

เขาเดินไปยังเสาต้นที่ใกล้ที่สุดบริเวณชานชาลา เอนหลังลงพิงกับเสา ทอดทิ้งร่างทั้งร่างที่บัดนี้เขารู้สึกเสมือนดังว่ามันถูกสร้างขึ้นจากเศษฟางบางเบา

เขากำลังจะปลิวลอย

เขากำลังจะสูญสลาย

เขากำลังจะหายไปจากโลกนี้

โลกที่เขามีเธอ

รถไฟใต้ดินขบวนถัดไปแล่นเข้าเทียบชานชาลา ผู้คนที่รอคอยการมาถึงของมันพากันเคลื่อนย้ายตนเองเข้าไปในตัวรถไฟ

ทุกคนรู้สึกปลอดภัย

ทุกคนรู้สึกอบอุ่นที่ประสบความสำเร็จในการเป็นส่วนหนึ่งของพาหนะเดินทางเช่นนี้

มีเพียงเขาที่ยืนแอบอิงกับเสาต้นเดิม

เขาจ้องมองดูเธอ รถไฟใต้ดินเคลื่อนขบวนอย่างช้าๆ

เขาจ้องมองดูเธออีกครั้ง เขาจ้องมองดูเธอจากไปพร้อมกับคนรักของเธอ

หลังสิ้นสูญภาพสุดท้ายของขบวนรถไฟใต้ดิน เขาเดินกลับขึ้นบันได ขึ้นไปยังทางออก

ออกจากสถานี กลับไปที่ร้านกาแฟ

เขาสั่งกาแฟแบบเดิมกับที่เขาได้ดื่มมันเมื่อเช้า

โทรศัพท์ไปลางาน เป็นการลางานครั้งแรกของเขา

เป็นการลางานจากอาการป่วยที่เขารู้ว่ามันไม่เป็นความจริง

ความป่วยไข้ทางใจอาจเป็นอาการป่วย แต่ไม่ใช่อาการป่วยที่จะเป็นข้ออ้างได้เลย

กระนั้นเขาก็รู้สึกว่าตนเองทำถูกต้องแล้ว

เขาไม่หลงเหลือเรี่ยวแรงอีกต่อไปสำหรับวันนี้

เขาไม่มีเรี่ยวแรงสำหรับการงาน

จนแม้การกลับคืนสู่บ้านของตนเอง เขาก็ยังไม่แน่ใจว่ามีเรี่ยวแรงเพียงพอหรือไม่สำหรับการเคลื่อนกาย

 

กระนั้นหลังหยดสุดท้ายของกาแฟ เขาก็พาตนเองกลับบ้าน

เขาขี่จักรยานผ่านความเปียกชื้นบนถนนจากฝนเมื่อคืน

เขาแน่ใจแล้วว่าฝนได้ตกลงมาเมื่อคืน

ถนนมีผิวน้ำฉาบทาบทา เงาของจักรยานที่สะท้อนในผิวน้ำบ่งบอกว่าจักรยานของเขาไม่มั่นคง มันสั่นไหว โอนเอน

ไม่น่าเชื่อว่าเพียงเวลาไม่กี่ชั่วโมงทุกสิ่งรอบตัวเขาจะเปลี่ยนแปลงไปได้มากมาย

โลกที่เคยจริงจังจับต้องได้

โลกที่เคยมั่นคงแน่วแน่

โลกที่เคยเปี่ยมด้วยความหวังจะกลับกลายเป็นโลกที่จับต้องไม่ได้

เป็นโลกที่เปราะบางและเป็นโลกที่ไร้ซึ่งความหวังถึงเพียงนี้

ตลอดวันนั้นเขาพบตนเองอยู่บนเตียง หลังกลับคืนสู่บ้านสถานที่เดียวที่เขาคิดว่าตนเองปลอดภัยที่สุดในเมืองแห่งนี้

เขาก็ทิ้งตัวลงบนเตียง พยายามหลับใหล

พยายามหลับเพื่อที่จะตื่นขึ้นมาและคิดว่าทุกสิ่งที่เขาได้พบเจอเกี่ยวกับเธอเป็นฝันร้าย

แต่เขาไม่อาจหลับใหลลงได้ มันเป็นอากัปอาการแบบเดียวกับที่เขาประสบพบในคืนก่อน

ทว่าแก่นสารของมันกลับแตกต่างออกไป

ในคืนก่อนเขาไม่อาจหลับใหลได้ด้วยความคาดหวัง

แต่ในวันนี้เขาไม่อาจหลับใหลลงได้ด้วยความสิ้นหวัง

 

ความสิ้นหวังดังกล่าวชักนำเขาสู่การหลบหนี

ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเป็นบุคคลที่เปราะบางเช่นนี้

แต่สิ่งนั้นก็เกิดขึ้นแล้วในที่สุด

เขารู้สึกหวาดกลัวเมืองหลวงแห่งนี้

เขารู้สึกไม่มั่นใจในมัน ไม่เป็นมิตร

เขาไม่รู้ว่าจะปฏิสัมพันธ์กับมันเยี่ยงไรดี

เขามาถึงเมืองแห่งนี้ในฐานะที่มั่นสุดท้าย แต่แล้วเขากลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่เมืองที่ปลอดภัยสำหรับเขาอีกต่อไป

แต่เขาจะไปไหนได้

เขามีที่นี่ ที่บ้านแห่งนี้เป็นที่พักพิง

เขาพยายามสร้างมันขึ้นใหม่จากซากปรักหักพัง หลังจากนั้นเขาหาญกล้าที่จะสร้างโลกอีกโลกที่มีใครสักคนเข้ามาอิงแอบอาศัยด้วย

ทว่าโลกใบนั้น ย่อยยับอัปราลงแล้ว โลกใบที่คาดหวังว่าจะมีใครสักคนทำให้มันสมบูรณ์

เขาจำต้องซ่อมแซมตนเอง ใช่สิ การซ่อมแซมเป็นสิ่งที่จำเป็นเสมอไม่ว่าในโลกแบบใดก็ตาม

เขาคิดถึงการหนีห่าง การหลบหนีจากที่ที่คุ้นเคยแม้ไม่ใช่ตลอดไป แต่เป็นเพียงเวลาชั่วคราวก็ตามที

เขาคิดถึงเมืองเล็กๆ สักเมืองที่เขาจะได้ฟื้นฟูจิตใจ

ด้วยตำแหน่งงานเช่นเขา การลาพักร้อนเพียงไม่กี่วันไม่ใช่ปัญหา

แต่เขากลับไม่แน่ใจว่าเขาต้องการเวลาเล็กน้อยเพียงเท่านั้นหรือ บางทีการซ่อมแซมทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเขาอาจต้องการเวลามากกว่านั้น

เขาโทรศัพท์ไปยังสถานที่ทำงานแจ้งความประสงค์ที่จะลาออก

เสียงปลายสายจากฝ่ายบุคคลทำให้เขาตระหนกตกใจ ในตอนเช้าเขาขอลางานด้วยอาการป่วยไข้ แต่ในยามบ่ายเขากลับโบกมือลาสถานที่ที่เขาเคยคุ้นชินกับมันอย่างไม่ไยดี

เจ้านายของเขาเป็นผู้ส่งเสียงตามสายมาอีกคน “งานของเราวุ่นวายจริงๆ คุณจะพักงานสักระยะก็ได้ถ้ารู้สึกไม่สบาย แต่ขอให้กลับมา การหาคนทดแทนในตำแหน่งของคุณไม่ใช่เรื่องง่าย”

เขาฟังบทสนทนานั้นอย่างสงบและกล่าวสั้นๆ เพียงว่าเขาจะกลับไปในเวลาที่สมควร

แต่เมื่อเขาวางสายเขาก็รู้ดีว่าเขาไม่มีวันกลับไปยังสถานที่นั้นอีกแล้ว ไม่มีวัน

 

เช้าวันรุ่งขึ้น เขาออกเดินทางไปสนามบิน เขาจองเที่ยวบินตั้งแต่กลางดึกของคืนก่อน

เขาใช้โอกาสที่ไม่อาจข่มตาหลับได้จัดการสะสางทุกอย่าง

เขาจัดการสมัครการชำระค่าสาธารณูปโภคผ่านธนาคาร

เขาเขียนใบคำสั่งงานที่จำเป็นทุกอย่างและส่งมันผ่านทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ไปยังเพื่อนร่วมงาน

เขาทำความสะอาดเสื้อผ้า ตระเตรียมชุดที่จำเป็น

เขาเลือกหนังสือ เขียนสิ่งที่อยากจะทำในช่วงเวลานับจากนี้ เวลานับจากนี้เป็นเวลาอันโดดเดี่ยว

เขารู้ตนดี เขาเลือกเมืองอันโดดเดี่ยวเล็กๆ เมืองหนึ่งทางตอนเหนือของประเทศเป็นที่หลีกหนี

เมืองที่ใครกล่าวว่ามันเงียบสงบ ผู้คนไม่พลุกพล่าน

เมืองที่เขาจะกลายเป็นคนแปลกหน้าอีกครั้ง เมืองที่เขาจะได้ใช้เวลาคิดถึงเธอไม่ต่างจากใครสักคนที่เฝ้าคิดถึงดวงดาวที่หายลับไปจากดวงตา

เครื่องบินพาเขามาถึงเมืองหลวงของดินแดนภาคเหนือในยามสาย

อากาศเย็นสบาย เขาขึ้นไปบนดอย สักการะพระธาตุศักดิ์สิทธิ์

เขาเคยมายังสถานที่แห่งนี้ในวัยเด็กกับลุงและป้า สีทองอร่ามของพระธาตุเตือนความทรงจำให้เขาตระหนักว่าเขาเป็นคนมีราก

เขาไม่ใช่คนไร้รากโดยสิ้นเชิง

ดินแดนทางเหนือแม้ว่าจะเป็นดินแดนที่เขาผละจากมาไปเนิ่นนาน

แต่เสียงพูดอันคุ้นเคย ถ้อยคำภาษาถิ่นที่เขาเข้าใจได้นับแต่แรกยินทำให้จิตใจของเขาสดชื่น

เป็นความสดชื่น อบอุ่น เป็นครั้งแรกนับแต่ความหนาวเย็นแห้งแล้งที่เกิดขึ้นนับแต่เช้าวันวาน หลังลงจากดอยเขาตรงไปที่สถานีรถโดยสาร

ซื้อตั๋วเที่ยวแรกที่จะไปยังเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง

รถตู้พาเขาลัดเลาะคดเคี้ยวไปตามไหล่เขา ราวสามชั่วโมง ไม่นับเวลาพักรถ เขาก็ไปถึงเมืองแห่งนั้น

เมืองที่ไม่มีผู้คนมากมาย

เมืองที่ไม่มีการจราจรอันสับสน

เมืองที่ไม่มีรถไฟใต้ดินและเมืองที่ไม่มีเธอ

เธอผู้ที่เกาะกุมแขนของใครบางคนซึ่งไม่ใช่เขา