อีกบทหนึ่งของคนโง่แล้วขยัน : มนัส สัตยารักษ์

การดำเนินงาน “คืนโฉนด” ของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม 6 ครั้ง สร้างความดีอกดีใจแก่ชาวบ้านเจ้าของโฉนดที่ถูกเจ้าหนี้ยึดไว้เป็นอย่างยิ่ง เพราะเท่ากับได้หลุดพ้นจากการถูกเอารัดเอาเปรียบจากการกู้เงินนอกระบบด้วยดอกเบี้ยโหดนั่นเอง

การดำเนินงานของฝ่ายบ้านเมืองเป็นไปตาม “ยุทธการขุดรากถอนโคนอาชญากรรม” ซึ่งได้แก่การไกล่เกลี่ยระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ การให้ซื้อ-ขายกันในราคาที่เป็นธรรมโดยไม่ต้องฟ้องร้องเป็นคดีความให้ยืดเยื้อ

ปฏิบัติการทั้ง 6 ครั้ง ไกล่เกลี่ยได้ 14,975 ราย คืนโฉนด 11,805 ฉบับ รวมเนื้อที่ 36,990 ไร่ 3 งาน 97 ตารางวา รวมราคาที่ดินกว่า 16,354 ล้านบาท!

การดำเนินการได้รับความร่วมมือจากข้าราชการทุกฝ่าย โดยเฉพาะตำรวจซึ่งประกอบด้วยระดับบิ๊กสายตรง (ของบิ๊กป้อม) กับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เจ้าของพื้นที่ ผมซึ่งเป็นอดีตตำรวจก็พลอยได้ปลาบปลื้มไปกับปฏิบัติการครั้งนี้ด้วย

ทำให้บิ๊กป้อมอยู่ในฐานะคล้ายๆ มูฮัมหมัด ยูนูส (Muhammad Yunus) นักเศรษฐศาสตร์ชาวบังกลาเทศ (ผู้ริเริ่มล้างหนี้ให้คนจนชาวบังกลาเทศ) เจ้าของรางวัลแม็กไซไซ (ปี 2527) และรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย รวมทั้งรางวัลโนเบล ในปี 2549

และรอยด่างเรื่อง “แหวนแม่-นาฬิกาเพื่อน” ของบิ๊กป้อมก็น่าจะพลอยเลือนรางไปจากความเจ็บจำของประชาชนส่วนหนึ่งไปด้วย

แต่แล้วความคิดฝันของผมก็วูบหายไปเพราะว่า หลังจากปฏิบัติการ “คืนโฉนด” ที่ ม.สงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ เสร็จสิ้น ในนาทีต่อมาพิธีกรนายหนึ่งก็แสดงบทถนัด “โง่แล้วขยัน” ออกมาด้วยคำกล่าวประกาศกับประชาชน ทำนองว่า

“ก็พอจะรู้นะว่า ควรจะลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้ใคร!!”

ในปี พ.ศ.2499 ก่อนวาระเลือกตั้ง 2500 ผมเพิ่งได้รับการบรรจุเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) ปีที่ 1 เป็นครั้งแรกของชีวิตที่จะมีสิทธิ์เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส. จำได้ว่าก่อนวันเลือกตั้งได้มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ระดับนายพลท่านหนึ่งจากกรุงเทพฯ ได้ไปกล่าวปราศรัยกับ นรต.ทั้งโรงเรียน ถึงความจำเป็นและความสำคัญของการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย รวมทั้งได้อธิบายถึงวิธีการกาคะแนนในคูหาให้ถูกต้องด้วย

แล้วตบท้ายสั้นๆ ทำนองว่า “นรต.น่าจะรู้ว่าควรจะกาคะแนนให้ใคร”

ผม-ซึ่งปกติเป็นเด็กที่เหมือนมีวิญญาณขบถอยู่ในสายเลือด-ยังไม่รู้สึกว่าการกระทำดังกล่าวข้างต้นของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เป็นการละเมิดกฎหมาย หรืออาจจะผิดธรรมเนียมวัฒนธรรมอันดีงามทางการเมือง เพราะเป็นการกระทำอย่างลับในห้องประชุม ร.ร.นรต.สามพราน เหมือนเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างข้าราชการตำรวจ ทุกคนในที่นั้นต่างเป็นพวกของ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อ.ตร. ซึ่งเป็นฝ่ายรัฐบาล ไม่ได้ประเจิดประเจ้อด้วยเครื่องขยายเสียงในที่สาธารณะอย่างที่ ม.สงขลานครินทร์

อย่างไรก็ตาม มีพฤติกรรมเลวร้ายอื่นๆ ที่ประเจิดประเจ้อในการเลือกตั้ง 2500 ครั้งนั้น ผลการเลือกตั้งจึงได้ชื่อกระฉ่อนไปทั่วโลกว่าเป็น “การเลือกตั้งสกปรก” และตามมาด้วยการปฏิวัติยึดอำนาจรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม อย่างง่ายดายโดย พล.อ.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในปีนั้นเอง

เป็นเหตุให้ทั้งจอมพล ป. พิบูลสงคราม และ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ต้องระเห็จหนีจากประเทศไทยไปจนกระทั่งเสียชีวิตที่ต่างประเทศในเวลาต่อมา

ไม่น่าเชื่อว่ากาลเวลาได้ผ่านมาถึง 62 ปีแล้ว แต่ก็ยังมี “คนขยัน” ฉวยโอกาสหาเสียงด้วยวิธีการเดียวกัน ด้วยข้อความในทำนองเดียวกัน เพียงแต่ทำอย่างโง่และอย่างไม่เกรงว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย

ผมเดาว่าในความคิดลึกๆ ของพิธีกรรายนี้ เขาคงคิดถึง “ความสำเร็จ” ของทนายวันชัย สอนศิริ จำได้ถึงรางวัลตอบแทนที่คุ้มค่ากับการเสี่ยง คุ้มค่ากับการถูกประณามจากสังคม ตัวอย่างที่ผ่านมาก็เห็นชัดว่ารัฐบาล คสช. “พอใจ” ไม่ปฏิเสธสิ่งสกปรกโสโครกที่ได้มาจากการเอาเปรียบฝ่ายตรงกันข้าม

คนที่น่าจะเดือดร้อนที่สุดก็คงจะเป็นข้าราชการตำรวจ เพราะตำรวจต้องแสดงตัวเป็นกลางอย่างเคร่งครัดในวาระเลือกตั้งทุกประเภท ผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องถูกลงโทษถึงไล่ออกจากราชการ ถ้าเป็นผมที่ต้องอยู่ในพิธี “คืนโฉนด” วันนั้น ผมอาจจะต้องใช้วิธีค่อยๆ เลี่ยงออกมาจากที่ประชุม พยายามอย่าให้เห็นได้ว่าอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย

และคงระทึกอยู่ในใจว่า “วันนี้โชคไม่ดี…เจอไอ้โง่แล้วขยันอีกจนได้”

คนโง่แล้วขยัน อาจจะทำให้พรรคการเมืองหนึ่งได้ชัยชนะในการเลือกตั้ง แต่พรรคที่ชนะการเลือกตั้งจะหาความภาคภูมิใจไม่ได้ ผู้ที่ได้มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้ารัฐบาล จะบริหารประเทศไปด้วยความยากลำบาก อาจต้องวางมือกลางคันในระหว่างขึ้นศาล ท่านจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน

ผมเสียดายแทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่อุตส่าห์สร้างผลงานยิ่งใหญ่ในยุทธการ “ขุดรากถอนโคนอาชญากรรม” แก้ปัญหาคนจนถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าหนี้นอกระบบ คิดเป็นเงินถึงกว่าหนึ่งหมื่นหกพันล้านบาท แต่ต้องมา “เสียของ” ไปเปล่าเพราะคนโง่แล้วขยันเพียงคนเดียว โดยที่ไม่อาจขัดขวางหรือแก้ไขได้ เพราะไม่รู้ว่ามันคนนั้นเป็นคนของใคร

ในส่วนตัวของผม ซึ่งลังเลมาตลอดตั้งแต่ปี่กลองของการเลือกตั้งเริ่มดังขึ้น…ว่าจะเลือกใคร หรือพรรคใด?

จนมาถึงวันที่มีคน “โง่แล้วขยัน” ออกมาขยันพูด นั่นแหละผมจึงตัดสินใจได้…ตัดสินใจได้ในส่วนที่ว่า “จะไม่เลือกใคร” แม้จะยังลังเลไม่แน่ใจว่าจะเลือกใครหรือพรรคใดก็ตาม

แต่อย่างน้อยก็ได้ข้อยุติแล้วว่าจะ “ไม่เลือก” คนและพรรคที่ไอ้โง่เชลียร์อย่างแน่นอน