บทวิเคราะห์ : ผู้นำคิม จอง อึน กับวิสัยทัศน์ถ่านหิน

ไม่น่าแปลกใจที่สุนทรพจน์ของ “คิม จอง อึน” ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือเนื่องในวันปีใหม่ที่ผ่านมานั้นจะให้น้ำหนักไปที่ “ถ่านหิน” ที่จะเป็นทรัพยากรสำคัญสำหรับใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

ในสุนทรพจน์ดังกล่าว คิม จอง อึน เรียกร้องให้อุตสาหกรรมถ่านหินของประเทศเน้นไปที่การสนับสนุนพลังงานไฟฟ้าของประเทศให้สามารถ “ผลิตไฟฟ้าให้ได้มาตรฐานอย่างต่อเนื่อง”

นโยบายดังกล่าวซึ่งแม้นักวิเคราะห์จะมองว่ามีข้อเสีย แต่ “ถ่านหิน” ก็เป็นอะไรที่เกาหลีเหนือจำเป็นต้องพึ่งพามากขึ้นเรื่อยๆ ในเวลานี้

สำหรับเกาหลีเหนือนั้น ถ่านหินเป็นทรัพยากรส่งออกสำคัญของประเทศ แต่ในเวลานี้ผู้นำเกาหลีเหนือต้องนำนโยบายแบบพึ่งพาตนเองกลับมาใช้อีกครั้ง ท่ามกลางมาตรการคว่ำบาตรจากนานาชาติที่รายล้อมประเทศกำลังพัฒนาแห่งนี้

มาตรการคว่ำบาตรจากนานาชาติที่เพิ่มความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ “ถ่านหิน” เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ผู้นำเกาหลีเหนือจะนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายตามคำมั่นสัญญาที่จะทำให้ชีวิตประชาชนในประเทศที่พลังงานไฟฟ้ามีอยู่อย่างจำกัดดีขึ้นได้

โดยทิศทางนโยบายดังกล่าวมีขึ้นหลังจากเมื่อปีก่อนผู้นำคิมประกาศความสำเร็จของการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ และประกาศเริ่มต้นพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างจริงจัง

 

ด้านนักวิเคราะห์จากเกาหลีใต้และชาวเกาหลีเหนือที่แปรพักตร์ต่างรายงานตรงกันว่า ด้วยมาตรการคว่ำบาตรที่ยังคงทำให้เกาหลีเหนือไม่สามารถส่งออกถ่านหินได้ ทำให้เกาหลีเหนือจำเป็นต้องนำถ่านหินที่มีในสต๊อกมากมายมหาศาลนั้นไปใช้ในประเทศ

“คนรู้จักของผมในเกาหลีเหลือในจังหวัดฮัมกยองบอกผมว่า พวกเขามีไฟฟ้าใช้ 14-15 ชั่วโมงต่อวันในปี 2018 มากกว่าในปี 2017 ที่มีใช้เพียง 8-10 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น” คิม ยอง ฮุย ชาวเกาหลีเหนือผู้แปรพักตร์ที่เวลานี้ทำงานเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ธนาคารพัฒนาเกาหลีในเกาหลีใต้ระบุ

ด้านคัง มี จิน ชาวเกาหลีเหนือแปรพักตร์อีกราย ผู้ที่เวลานี้เป็นนักเขียนเกี่ยวกับเกาหลีเหนือในเว็บไซต์ “เดลีเอ็นเค” และได้คุยกับแหล่งข่าวในเกาหลีเหนือระบุว่า การมีพลังงานไฟฟ้าสำหรับอุปโภคในประเทศมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในปี 2018 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนนั้น ทำให้มีไฟฟ้าเพียงพอสำหรับใช้ในครัวเรือนจำนวนมาก และยังส่งผลดีกับการผลิตในโรงงานรวมถึงการให้บริการรถไฟด้วย

“อย่างที่คิม จอง อึน กล่าวไว้ในสุนทรพจน์ปีใหม่ เกาหลีเหนือจะเน้นไปที่เศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น” คังระบุ

และว่า “แทนที่จะหาทางส่งออกถ่านหินทางอื่นๆ พวกเขาจะนำถ่านหินมาใช้ในประเทศอย่างต่อเนื่อง”

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งก็มองเช่นกันว่า เทคโนโลยีที่ล้าสมัยอย่างถ่านหินซึ่งมีข้อจำกัดอยู่นั้นจะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจในวงกว้างได้มากแค่ไหน

“การเน้นไปที่ถ่านหินและไฟฟ้าเป็นหนทางเพื่ออยู่รอด ขณะที่คิม จอง อึน พยายามอย่างหนักที่จะทำให้ประเทศอยู่ได้อย่างพอเพียงด้วยการพึ่งตัวเอง แต่ถ่านหินไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนโฉมเศรษฐกิจทั้งหมดได้ตราบใดก็ตามที่การส่งออกยังถูกปิดกั้น”

คิม ยอง ฮุย ระบุ

 

อย่างไรก็ตาม ในสุนทรพจน์ของผู้นำเกาหลีเหนือก็ได้ระบุถึงแผนในระยะยาวเอาไว้ด้วยว่า จะมีการพัฒนาการผลิตไฟฟ้าที่มาจากพลังงานคลื่น พลังงานลม และพลังงานนิวเคลียร์ต่อไป แต่นั่นก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องอนาคตห่างไกล

ทั้งนี้ ประเทศเกาหลีเหนือ ประเทศที่ถูกโดดเดี่ยวทางเศรษฐกจิและถูกกดขี่จากรัฐบาลเผด็จการนำโดยคิม จอง อึน ประสบปัญหาเรื่องการขาดแคลนไฟฟ้ามาอย่างยาวนาน

ในช่วงปีที่ผ่านมา การขาดซึ่งแหล่งพลังงานที่ไว้ใจได้ทำให้ชาวเกาหลีเหนือจำนวนมากหันมาติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ราคาถูกเพื่อใช้ให้แสงสว่างและชาร์จโทรศัพท์มือถือในบ้านกันมากขึ้น

ด้านสำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานอ้างแหล่งข่าวในประเทศเกาหลีเหนือด้วยว่า การมีไฟฟ้าใช้อย่างเพียงพอจะช่วยโครงการก่อสร้างอาคารสูงของคิม จอง อึนนั้นมีความน่าดึงดูดมากขึ้น เนื่องจากก่อนหน้านี้ผู้อาศัยมักกลัวกับการเผชิญเหตุไฟฟ้าดับและลิฟต์ใช้การไม่ได้

จากข้อมูลของรัฐบาลจีน การส่งออกถ่านหินของเกาหลีเหนือไปยังจีนเมื่อปี 2017 ลดลงเหลือ 4.83 ล้านตัน ลดลงจาก 20 ล้านตันในปี 2016 ขณะที่ในช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคม ในปี 2018 ที่ผ่านมาจีนไม่ได้นำเข้าถ่านหินจากเกาหลีเหนือเลย ขณะที่ปริมาณการผลิตถ่านหินของเกาหลีเหนือที่เดิมเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปี 2013 ถึงปี 2016 นั้นลดลงถึง 30 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 21.66 ล้านตัน ในปี 2017

ขณะที่ข้อมูลถ่านหินสำรองใช้ในประเทศของเกาหลีเหนือเก็บข้อมูลโดยรัฐบาลเกาหลีใต้นั้นคาดว่าจะมีมากถึง 20,500 ล้านตัน ซึ่งนั่นนับเป็นจำนวนมากเกินพอสำหรับการใช้ในประเทศ

คงต้องจับตากันต่อไปว่าเศรษฐกิจที่จะขับเคลื่อนไปด้วยถ่านหินของเกาหลีเหนือในครั้งนี้จะมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด