วงค์ ตาวัน : ยุทธการซัวเถา

วงค์ ตาวัน

เอ่ยชื่อจังหวัดซัวเถาของประเทศจีน เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่จะคุ้นเคยดี เนื่องจากบรรพบุรุษของคนไทยเชื้อสายจีนหรือบรรดาลูกจีนในไทยนั้น ส่วนใหญ่เป็นผู้อพยพหลบหนีภัยสงครามภายในของจีน ต่อเนื่องถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้งความไม่ปลอดภัยจากศึกสู้รบไปจนถึงปัญหาความอดอยาก

โดยปลายทางของการอพยพก็คือดินแดนไทย

ความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างคนไทยเชื้อสายจีน กับต้นตระกูลรุ่นอากงอาม่าในซัวเถา จึงเกี่ยวเนื่องกันมาตลอด

“ประเด็นนี้เอง จึงเป็นข้อสังเกตทางการเมือง ถึงการที่ทักษิณ ชินวัตร และยิ่งลักษณ์ เดินทางไปปรากฏตัวที่ซัวเถาในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลเพื่อเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องที่เป็นต้นตระกูลบรรพบุรุษ”

นำมาสู่ภาพที่แพร่หลายไปทั่วโซเชียล ได้เห็น 2 พี่น้องชินวัตรได้รับการต้อนรับจากชาวจีนในพื้นที่ดังกล่าวอย่างอบอุ่นและคึกคัก

ไม่เท่านั้น ยังตามมาด้วยข่าวที่สื่อมวลชนของจีนรายงานอย่างเกรียวกราวว่า ยิ่งลักษณ์เพิ่งได้รับตำแหน่งประธานบอร์ดของบริษัท ซัวเถา อินเตอร์เนชั่นแนล คอนเทนเนอร์ เทอร์มินัลส์ จำกัด หรือเอสไอซีที ซึ่งเป็นบริษัทบริหารท่าเรือในเมืองซัวเถา

“เท่ากับว่า ไม่เพียงแค่เปิดภาพความสัมพันธ์เครือญาติแห่งซัวเถา แต่ยังมีตำแหน่งหน้าที่ทางธุรกิจใหญ่โตที่นั่นอีกด้วย!”

แน่นอนว่าเทศกาลปีใหม่หรือตรุษจีนเป็นช่วงที่เหมาะสมสำหรับการเดินทางไปพบปะเครือญาติ กราบไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับ

แต่ความที่เป็นช่วงสถานการณ์ที่การเมืองไทยกำลังจะเข้าสู่การเลือกตั้ง

ผลสะเทือนทางการเมือง จากการไปปรากฏตัวที่ซัวเถา และการลงทุนการบริหารงานธุรกิจที่นั่น

ย่อมสะท้านมาถึงเมืองไทยอย่างแน่นอน

“เพราะเชื่อมโยงถึงคนไทยเชื้อสายจีนเป็นส่วนใหญ่อีกด้วย”

นี่จึงเป็นการสร้างกระแสผ่านการเดินทาง การไปปรากฏตัว การทำธุรกิจของ 2 พี่น้องชินวัตร อันเป็นการสื่อสารมาถึงคนไทย ในท่ามกลางบรรยากาศที่กำลังจะตัดสินใจว่าจะเลือกใคร เลือกพรรคไหน ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงได้เป็นอย่างดี

แน่นอนว่า ทักษิณหรือยิ่งลักษณ์ย่อมต้องระมัดระวัง ต้องไม่แสดงออกให้เห็นถึงการครอบงำหรือเข้ามาแทรกแซงชี้นำพรรคการเมืองที่กำลังลงสนามเลือกตั้ง

ไม่เช่นนั้นก็จะเข้าทางอีกฝ่าย กลายเป็นข้อหายุบพรรคได้ง่ายๆ

จึงต้องอาศัยการเคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดกระแส แล้วจะเชื่อมโยงอารมณ์ความรู้สึกของคนไทย อันเป็นการหาเสียงทางอ้อมให้กับพรรคการเมืองในเครือข่ายนั่นเอง!

มองได้ไม่ยากว่า ในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ทั้ง 2 พี่น้องชินวัตร ที่ยังคงมีคะแนนนิยมในหมู่มวลชนจำนวนมากจะต้องเคลื่อนไหวเพื่อสื่อสารมาถึงมวลชนเหล่านี้ อันจะนำไปสู่การปลุกเร้าเพื่อลงคะแนนให้กับพรรคการเมืองที่อยู่ในขั้วตรงข้ามฝ่าย คสช.

ซึ่งเชื่อมโยงเป็นแนวร่วมกัน 3-4 พรรค มีสัญลักษณ์ติดปากในหมู่ชาวบ้านว่า พรรคตระกูลเพื่อ

“คงไม่จำเป็นต้องใช้วิธีพูดจาหาเสียงเพื่อให้เลือกพรรคเหล่านั้นโดยตรง แต่เพียงเคลื่อนไหวให้เกิดกระแส ให้เป็นข่าวผ่านสื่อมวลชนทั่วโลก แล้วกระตุ้นให้คนไทยออกมาเลือกตั้งเพื่อต่อต้านฝ่ายสืบทอดอำนาจทหาร อะไรทำนองนั้น”

การเคลื่อนไหวเพื่อให้เป็นข่าวดังกล่าว มีทั้งการเดินทางไปปรากฏตัวในประเทศนั้นประเทศนี้ เพื่อบอกกล่าวว่า มีอิสระที่จะไปไหนมาไหนก็ได้ทั่วโลก โดยไม่มีประเทศไหนคิดจะร่วมมือกับทางการเมืองในการจับกุมตัวส่งกลับมาดำเนินคดี

เป็นการรุกทางการเมืองตอบโต้คดีความที่ถูกดำเนินคดีจนต้องหลบหนีออกนอกประเทศ

แล้วโพสต์รูปผ่านโซเชียล บอกกล่าวความคิดถึงมายังแฟนคลับ

หรือที่เคลื่อนไหวให้เป็นข่าวอีกประการ ออกมาในรูปของการไปลงทุนทางธุรกิจ ดังเช่นกรณียิ่งลักษณ์ไปมีตำแหน่งใหญ่โตในบริษัทท่าเรือที่ซัวเถา

“ส่วนกรณีของทักษิณ มีข่าวในหมู่คนใกล้ชิดระบุว่า เร็วๆ นี้จะเปิดผลิตภัณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ระดับโลก เพื่อให้เป็นข่าวใหญ่!”

ให้เห็นภาพการเป็นนักบริหารที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล เป็นนักลงทุนที่ทันสมัยก้าวกระโดดตลอดเวลา

“ซึ่งจะเป็นภาพเปรียบเทียบกับแกนนำขั้วตรงข้าม แถมจะเป็นเครื่องตอกย้ำให้เห็นถึงสภาพความล้าหลังของบ้านเมืองเรา ภายใต้การควบคุมทางการเมืองของกลุ่มอนุรักษนิยม กลุ่มขุนศึกขุนนาง”

แล้วจะเกิดคำถามให้คนไทยได้ขบคิดในการเลือกตั้ง

ต้องการบ้านเมืองที่มีพรรคการเมืองตัวแทนของฝ่ายทันสมัยกว้างไกล หรือพรรคการเมืองตัวแทนของฝ่ายที่ต้องการควบคุมบ้านเมืองให้อยู่ในกรอบ ถูกแช่แข็งไปยาวนาน

นี่คือกลยุทธ์สำคัญของ 2 พี่น้องชินวัตร ที่จะต้องจับตามองกันต่อไปว่าจะได้ผลหรือไม่!?

พร้อมๆ กัน จะพบว่าในห้วงระยะนี้ ทักษิณเน้นเปิดแนวรบปะคารมกับเหล่าแกนนำ คสช. ทำอย่างต่อเนื่องเป็นระลอก ออกมาแหย่ ออกมาตอบโต้ เพื่อให้อีกฝ่ายฟิวส์ขาดแล้วโต้กลับอย่างดุเดือดและดุดัน ตามสไตล์ของอดีตนักการทหาร

“เท่ากับเป็นการเน้นย้ำให้ทั้งสังคมเห็นว่า คู่ขัดแย้ง คู่กรณีของทักษิณและยิ่งลักษณ์ก็คืออดีตผู้นำกองทัพเหล่านี้”

แล้วแกนนำ คสช.เหล่านี้ ก็กำลังเข็นพรรคการเมืองใหม่ของตนเองออกมาเพื่อลงสู้รบในสนามเลือกตั้ง หวังจะให้อำนาจของ คสช.ดำรงต่อเนื่องต่อไป โดยจะมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คือว่าที่นายกฯ ในนามของพรรคการเมืองนี้

จึงนอกจากเคลื่อนไหวไปมาให้เป็นข่าว เพื่อสื่อสารถึงแฟนๆ ในไทย และเชื่อมโยงไปถึงภาพนักบริหารนักพัฒนา อันจะมีผลต่อการตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองในการเลือกตั้ง

ยังเน้นย้ำถึงคู่ขัดแย้งคู่กรณีที่จะต้องต่อสู้กันในสนามเลือกตั้งหนนี้ให้เด่นชัด

“เป็นคู่กรณีที่ทั้งขัดแย้งทางการเมือง ต่อสู้โค่นล้มกันมานับสิบปี และยังเป็นขั้วตรงข้ามในแนวทางการบริหารบ้านเมืองอีกด้วย ระหว่างทุนนิยมเสรีกับอนุรักษนิยมล้าหลัง!”

ผลทางการเมืองที่น่าคิดอีกประการ ซึ่งจะเห็นได้จากแนวทางหาเสียงของฝ่ายพรรค คสช. ที่มุ่งปลุกผีความขัดแย้งระหว่างสีในอดีต เพื่อให้คนไทยหวาดผวา พร้อมกับนำมาสู่การรณรงค์หาเสียง เรียกร้องให้เลือก พล.อ.ประยุทธ์กลับมา เพื่อทำให้บ้านเมืองสงบต่อไป แต่ถ้าไปเลือกพรรคตรงข้ามก็จะนำความขัดแย้งรุนแรงกลับมาอีก

“แต่แนวรบที่ทักษิณเปิดขึ้นมา เพื่อปะทะกับแกนนำ คสช. ย่อมต้องการบอกกล่าวกับทั้งสังคมว่า นั่นคือคู่กรณีคือต้นตอความขัดแย้ง ไม่ใช่คนรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศ”

คงต้องการอธิบายกับสังคมด้วยว่า จะเลือกพรรคไหนก็ตาม ไม่ได้มีผลทำให้บ้านเมืองสงบต่อไป

เพราะพรรคฝ่าย คสช.ก็คือคู่กรณีที่ทำมาตั้งแต่การรัฐประหาร 2557 นั้น คือเข้ามาเพื่อต่อสู้กับฝ่ายทักษิณ ไม่ใช่การเข้ามาเพื่อเป็นกรรมการกลาง

นอกจากต้องการบอกกล่าวกับทั้งสังคมว่า นั่นก็คือคู่ขัดแย้ง เพื่อให้มีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกตั้งแล้ว

“กล่าวกันว่า ทักษิณยังน่าจะหวังผลต่อภาพรวมของการเมืองไทย และอนาคตของบ้านเมืองไทย”

ส่งสัญญาณไปยังทุกๆ ฝ่ายว่า ถ้าต้องการความสงบ ความปรองดอง

“ต้องมีทางเลือกใหม่ ต้องมีผู้ทำหน้าที่นี้ใหม่”

ผู้จะทำหน้าที่ปรองดองในอนาคตต่อไป ย่อมไม่ใช่แกนนำ คสช. อะไรทำนองนั้น

เหล่านี้น่าจะเป็นเป้าหมายของกลยุทธ์การเคลื่อนไหวจาก 2 พี่น้องชินวัตร ทั้งจากซัวเถาและจากดินแดนต่างๆ ทั่วโลก!